อกุศลจิต

 

               ต่อไปนี้เป็นอกุศลจิตที่จิตเป็นธรรมอันไม่ตายจะได้รับกรรมเหล่านี้เป็นแน่นอนต่อๆ ไป  ท่านเหล่าใดก็ดีไม่ว่าท่านชายและท่านหญิงทุกๆ ท่านไป  ถ้าท่านเหล่าใดมีจิตเป็นอคติอยู่  คือรักท่านชายรังเกียจท่านหญิงก็ดี  หรือรักท่านหญิงรังเกียจท่านชายเช่นนี้ท่านเรียกว่าเกิดอกุศลจิตเป็นมูล  ครั้นถึงเมื่อกายสังขารตายแตกดับไปแล้ว  จิตท่านเหล่านั้นก็จะได้รับมูลอกุศลเหล่านี้เป็นเหตุต่อๆ ไป  จิตของท่านเหล่านั้นก็ไปจุติตามภูมิใดใดก็ดี  พวกภูมิเหล่านั้น  ก็ต้องเกิดความรังเกียจท่านเหล่านั้นอยู่เสมอๆ ไป  จะหาความสุขมิได้เลยนะท่าน  ถ้ามาปฏิสนธิเกิดในร่างของมนุษย์หรือสัตว์  สิ่งใดใดก็ดีก็ต้องถูกเขาด่าเขาตีอยู่เสมอๆ  จะหาความสุขมิได้เลย  รูปร่างก็ขี้เหร่เป็นที่น่ารังเกียจแก่มนุษย์และสัตว์เสมอไป  เพราะการกระทำนึกคิดอกุศลจิตของตนที่มีอยู่นั้นเอง  ถ้าเรามีแล้วให้ละเสียในธรรมเหล่านี้  เราไม่รักไม่เกลียดแก่ท่านชายหญิงแต่อย่างใด  เรามีแต่ความเมตตาต่อท่าน  ท่านก็ความเมตตาแก่เราดังนี้  เรารักท่าน  ท่านก็รักเรา  เราเกลียดท่าน  ท่านก็เกลียดเรา  เราฆ่าท่าน  ท่านก็ฆ่าเรา  เราขโมยท่าน  ท่านก็ขโมยเราทำไมถึงเป็นอย่างนั้น  ก็เพราะการกระทำของตนเองที่ได้กระทำแก่ท่านไว้แล้วแต่อดีตชาตีที่ได้ผ่านมาแล้วนั้นเอง  เรียกว่ากุศลมูล-อกุศลมูลในทางจิต-เจตสิกกุศลและอกุศลมูลนั้นเอง  จิตเจตสิกที่มีอยู่ในตนทุกๆ คนไปไม่ว่าสัตว์มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานทั่วๆ ไป  ก็มีจิตเจตสิกด้วยกันทั้งนั้น  ให้พิจารณาดูในตนของตนนั้นมันถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร  ที่ชอบบ้างที่ไม่ชอบบ้าง  มันเกิดขึ้นอยู่ที่เราทุกๆ รูปทุกๆ นามไม่ใช่หรือ  เพราะอะไร  ก็เพราะจิต-เจตสิกที่มีอยู่ในธาตุสังขารของท่านชาย-หญิงนั้นเอง  อภิธรรมมัตถะสังคหะนี้เป็นธรรมใน-ธรรมในธรรม  ธรรมเหล่านี้มีอยู่ในตัวท่านชาย-หญิงจนครบถ้วนทุกๆ ตัวคน  ธรรมใน-ธรรมในธรรมนี้ก็คือ จิต 1 เจตสิก 1 รูป 1 นิพพาน 1  ท่านเรียกว่าธรรมใน-ธรรมในธรรม  ก็คือจิตของท่านชาย-หญิงนั้นแหละ  เป็นมูลฐานจะดีหรือชั่ว  ก็จิตของท่านนั้นเอง  นานาจิตตัง  นึกคิดของท่านแต่ละท่านมันมากมายเหลือเกินพรรณนาไม่ไหว  ขอให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงพิจารณาเอาเอง  มันมีอยู่ที่เราคือตัวตนของเรานั้นเองเป็นสิ่งไม่ตาย  ก็คือจิต-เจตสิกนั้นเองเป็นตัวท่านฯ

 

               นักบวชชาย-หญิงผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  ความรู้แจ้งแห่งทางพระนิพพาน  ที่จะออกจากในความพ้นจากกองทุกข์ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ได้ยากที่สุด  ถึงได้พูดหรือนึกคิดว่าพระนิพพานนี้ไปได้ยากที่สุด  คนอย่างพวกเราๆ นี้ไปไม่ได้คนยุคนี้สมัยนี้ไปไม่ได้  มีแต่ยุคพุทธกาลเท่านั้นที่จะเข้าสู่พระนิพพานได้  หมู่ท่านชาย-หญิงนึกคิดพูดมาเช่นนี้นั้น  เพราะอะไร  ผู้พูดออกมานั้น  มันคืออะไร  ก็คือความหลงของท่านชาย-หญิงนั้นเองเพราะหมู่ท่านหลงอยู่ในสักกายะทิฐิ  ที่เห็นผิดรู้ผิดในกายธาตุสังขารตนและผู้อื่นว่าเป็นตัวตน  ว่าเป็นบุคคลว่าเป็นเราเขาอยู่  เลยกลายเป็นความเพลิดเพลินไปตามความเห็นผิดคิดผิด  ทำให้เกิดอวิชชาตัณหาคือความมืดปิดจิตปิดใจ  ไม่ให้รู้ว่าอะไรที่ว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา  อย่างนี้หารู้ได้ไม่  เพราะทิฐิความเห็นผิดของตนนั้นเองจะไปโทษท่านเหล่าใดกันเล่า  ทิฐินี้แหละมันปิดบังสวรรค์พระนิพพานไว้ให้ผู้หลงผิดว่าพระนิพพานไปไม่ได้  พระนิพพานไปได้ยากคนอย่างเราๆ ไปไม่ได้ดอก  เพราะทิฐิความเห็นผิดก็เลยกลายเป็นสักกายะทิฐิ  ก็เลยหลงว่ากายสังขารธาตุของสัตว์มนุษย์ชาย-หญิงนี้เป็นตัวตน  หลงพูดออกมาเป็นตุเป็นตะ  เพราะความหลงผิดนั้นเอง  ขอให้พิจารณาดูให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันบ้าง  ผู้หลงผิดในความเห็นของตนอยู่เช่นนี้  ก็จะมีความรู้ในกายสังขารตนและผู้อื่นได้อยู่ว่า  เป็นแต่เพียงธาตุสังขารมนุษย์สัตว์เท่านั้น  ถ้าเราพิจารณาไปตามธรรม  ก็จะถอนความเห็นผิดเราได้อยู่  เพราะผู้รู้ในความเกิดในความตายได้อยู่ก็ให้พิจารณาต่อๆ ไปอีกว่า  นอกจากธาตุสังขารแล้ว  คงจะมีอีกส่วนหนึ่งเป็นแน่นอน  ที่มาปฏิสนธิอยู่อันเป็นสิ่งไม่ตาย  คงมีอยู่เป็นแน่นอน  ก็ให้พิจารณาต่อๆ ไปอีก  โดยรู้ความนึกคิดโดยสภาวะตัณหาก็มี  โดยสภาวะจิตก็มี ที่เป็นสิ่งไม่ตาย  สภาวะเหล่านั้นแหละเป็นตัวตนบุคคลเราเขาอยู่  เราก็จะรู้ในสิ่งไปเข้าสู่สวรรค์นิพพานได้  เพราะความรู้เหล่านั้น  รู้จักการละเว้นปล่อยวางเสียได้ไม่ติดอยู่ในภพทั้งสามอีกต่อๆ ไป  สภาวธรรมเหล่านั้นแหละ  จะเข้าสู่พระนิพพานได้ทุกๆ ท่านไป  ไม่ต้องสงสัยลังเลอย่างนี้อย่างนั้นดอกท่านชาย-หญิง  สิ่งที่ผู้ไม่มีสติปัญญานึกคิดพูดออกมาว่ามนุษย์และสัตว์  เกิดมาแล้วก็ตายสูญไปเท่านั้นไม่มีอะไรจะเหลืออยู่  ผู้นึกคิดเช่นนี้  จะไปสวรรค์นิพพานนั้นไม่ได้  เพราะความเขลาของตนนั้นเอง  อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสภาวะจิตทำให้เกิดแก่จิตมนุษย์ชาย-หญิงมีอยู่ 5 อย่าง  ที่ปิดทางประตูพระนิพพานไว้  ไม่ให้รู้ทางสภาวธรรมแห่งทางพระนิพพานได้  ก็คือธรรม 5 ประการ  ที่เป็นสิ่งร้อยรัดตรึงสัตว์และมนุษย์ชาย-หญิงไว้  ให้มืดมิดไม่รู้ทางพระนิพพานไปได้แต่อย่างใด  เพราะว่าเป็นเครื่องบังจิตไม่ให้รู้ทางนะท่านชาย-หญิง  มีดังต่อไปนี้คือ

 

               ข้อ 1  คือกามฉัน  มันกระทำจิตให้ยินดีไปทุกอย่าง  จะหาทางที่จะสิ้นสุดลงมิได้แต่อย่างใด

 

               ข้อ 2  คือพยาบาท  เป็นเหตุให้ใจร้ายจองเวร  ทำให้จิตใจเศร้าหมองอาฆาตตนและผู้อื่น  โดยกระทำที่ไม่พอไม่ถูกแก่ใจตนของตนเอง

 

               ข้อ 3  คือกุกุจจัง  มันกระทำให้จิตฟุ้งซ่านบ่มีรู้ ห่อมทาง  จะนึกคิดอะไรๆ ก็ไม่ออก  ก็ไม่รู้  จะยืน  จะเดิน  จะนั่ง  จะนอนก็ตาม  มีแต่ งงงวย หนหวยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างนั้นเอง

 

               ข้อ 4 คือถีนมิททะ  มันกระทำให้เป็นความง่วงเหงานอนไม่รู้ตื่น  มีแต่ความซบเซาอยู่เสมอๆ  จะมีปัญญามิได้เลยนะท่าน

 

               ข้อ 5  คือวิจิกิจฉา  มันกระทำจิตใจให้เกิดลังเลสงสัยไปตามทุกสิ่งทุกอย่าง  ให้สงสัยอยู่ในธรรมทั้งปวง  ความสงสัยนี้เห็นทางแล้วหาว่ามิใช่ทาง  ก็เพราะความลังเลสงสัยของตนนั้นเอง

                ห้าอย่างนี้ปิดทางพระนิพพานทั้งแปด (มรรคมีองค์แปด) นะท่านชาย-หญิงเราเป็นนักบวชผู้ทรงศีลและธรรม สมควรพิจารณารื้อถอนเลิกละจิตใจเราให้ออกมาจากกามคุณห้านี้ให้ได้เป็นเด็ดขาดเสียก่อน เราจะรู้แจ้งเองในทางพระนิพพานตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ไม่ต้องสงสัย ท่านเหล่าใด ยังไม่มีสติปัญญาจงละเว้นจากกามคุณนี้ ให้ออกจากจิตใจตนให้ได้ชั่วคราวดูเสียก่อน พอให้รู้ช่องทางว่าพระนิพพานทางของพระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้นี้ เป็นทางเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างแท้จริง เราก็จะรู้ได้เราไม่ควรไปพูดไปนึกคิดว่าคนสมัยนี้ไปพระนิพพานไม่ได้ อย่างนี้โดยประมาทตนและผู้อื่นอยู่เหมือนบัวจมอยู่ใต้น้ำปลักตมนั้นเอง พูดโดยไม่มีความหมายให้ตายไปเสียดีกว่าจะพูดนะท่านชาย-ท่านหญิงฯ

 

               ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ห้ามภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา  ผู้เลื่อมใสอยู่ในพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าในทางพุทธบัญญัติ  ไม่ควรไปพูด  หรือนึกคิด  ไปตามอาการความนึกคิดของตนว่า  นรก-สวรรค์-นิพพาน  ไม่มี  พูดเช่นนี้เป็นคำพูดเพื่อทำลายพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง  นรก-สวรรค์-นิพพานนี้เป็นพระพุทธเจ้าบัญญัติ  บุญ-บาปก็เช่นกัน  กรรมเวรและนักบวชชาย-หญิงก็เป็นพุทธเจ้าบัญญัติ  ท่านเหล่าใดไปถือว่าไม่มี  ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ทำลายศรัทธาบารมีตน  และผู้อื่นโดยไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใด  ถ้าเป็นนักบวชชาย-หญิง  ไม่สมควรจะเป็นนักบวชอยู่ต่อๆ ไป  ก็เป็นผู้ไร้ประโยชน์  มีแต่โทษที่จะมาถึงตนอยู่เสมอๆ ทุกคืน  วันไฟโลกันตร์จะมาเผาผลาญท่านเหล่านั้นอยู่ไม่ขาดระยะนะท่าน  โลกมนุษย์เรานี้เป็นสถานที่ก่อสร้างบุญบารมีกัน  เพื่อจะเข้าสู่สวรรค์นิพพานให้ได้  เพื่อพ้นออกจากกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น  ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้เป็นสายทางในภพในภูมิต่อๆ ไปดังนี้ฯ

 

               ดูก่อน  ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-นักบวชทั้งหลาย  สิ่งที่ปิดปกจิตใจมนุษย์และสัตว์  ไม่ให้รู้ทางสวรรค์พระนิพพานนั้นก็คือ  ตัณหาสามโลกธรรมแปดประการนั้นเอง  ธรรมเหล่าที่ครอบงำฝูงสัตว์อยู่ให้เกิดความมืดปิดบังไว้เพราะธรรมสามประการนั้นเอง

 

               ข้อ 1  คือความนึกคิดในจิตใจของตน  ในการสะสมในวัตถุของโลกนี้อยู่ไม่ยอมปล่อยวาง  หลงอยู่ในธาตุปากท้องว่าเป็นเรื่องใหญ่  มิได้ระลึกถึงความตายที่จะมาถึงธาตุเหล่านี้แต่อย่างใด  มีแต่ความอยากขึ้นมาถมทับตนไว้อยู่เสมอไป  ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรไปได้

 

               ข้อ 2  คือความกำหนัดเกิดถมทับจิตใจมนุษย์และสัตว์ไว้อีกต่อหนึ่ง  ไม่ให้รู้ทางออกจากโลกนี้ไปได้แต่อย่างใด

 

               ข้อ 3  คือความมักใหญ่ใฝ่สูงทำให้เกิดขึ้นแก่จิตใจปิดบังไว้ไม่ให้รู้ทาง  ความทุกข์ที่จะมาถึงตนแต่อย่างใด       

 

               ธรรมสามประการนี้แหละปิดปกครอบงำมนุษย์และสัตว์ไว้  ไม่ให้รู้ว่านรกสวรรค์นิพพานมีก็เพราะความไม่รู้ของตนนั้นเอง  ถึงได้พูดว่านรก-สวรรค์ไม่มี  ถ้ามีอยู่ที่ไหนกันเล่าท่านเหล่าใด  ไปเห็นแต่ที่ไหนกันดังนี้  ก็เพราะความโลภ  ความโกรธ  ความหลงของตนปิดบังไว้  ไม่ให้รู้นรก-สวรรค์-นิพพาน-ภพ-ภูมิต่างๆ ไปได้แต่อย่างใด  ก็เพราะความสะสมที่มีอยู่ในจิตใจนั้นปิดบังไว้นั้นเอง  ก็เพราะความกำหนดถมทับท่านไว้นั้นเอง  ก็เพราะอยากเป็นใหญ่ของท่านนั้นเอง  ถึงไม่รู้นรก-สวรรค์-นิพพานว่ามีจริง  หมู่ท่านเห็นแต่ช้างเท่านั้นแต่ไม่เห็นหิ้งห้อยเลยว่าอยู่ที่ใดให้พิจารณาเอาเอง  จบไว้ทีนี้ก่อน

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  21/11/2562 05:14:05

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom