-
โลกุตรธรรม
|
|
-
ตัวตนเราที่เป็นสิ่งไม่ตายนั้นเป็นรูปนามคือลม ลมคือธรรม
ธรรมคืออสังขตะธรรม
ธรรมนี้ไม่มีวัฏฏะภพทั้งสาม
ธรรมนี้ไม่มีตัณหาอาสวะ
ธรรมนี้ไม่มีสังขารร่างกายแต่อย่างใด
ถึงได้ชื่อว่าอสังขตะธรรมเป็นธรรมของพระนิพพาน ธรรมเหล่านี้จะรู้ได้จำเพาะตนผู้ปฏิบัติผู้เข้าถึงแล้วเท่านั้น
จะไปพูดให้สัตว์มนุษย์ทั้งโลกจักรวาลนี้ให้รู้ในธรรมนี้เป็นไปไม่ได้
เพราะหมู่ท่านเหล่านั้นมีวิจิกิจฉาอยู่จะไปรู้ในธรรมเหล่านี้ไม่ได้
มีจะนึกเดาเอาคาดคะเนเอาไปตามอาการนั้นๆ
โดยมิรู้ซึ่งแห่งธรรมว่าอะไรเป็นอะไร
แต่ว่าพระนิพพานท่านนี้ก็ยังไม่รู้อยู่แล้ว
จะไปพูดธรรมในทางพระนิพพานนั้นจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า
เพราะเป็นธรรมที่ไม่มีตัณหาอาสวะแต่อย่างใด ผู้มีกิเลสตัณหาอาสวะอยู่จะหาว่ารู้นั้นเป็นไปไม่ได้นะท่าน
เพราะสัตว์มนุษย์คนเรามีตัณหาอาสวะเป็นเครื่องคุมขังอยู่ด้วยความมืดอยู่แล้ว
อย่าไปถือว่าตนเป็นผู้รู้หรือว่าตนเป็นผู้เรียนรู้ไปถือโดยอ้างตำราคัมภีร์นั้นๆ
ให้รู้ว่าตำราคัมภีร์ธรรมนั้นมาจากที่ใดมาจากที่ไหนมาเป็นตำรับตำราจารึกไว้ในที่นั้น
โดยมากผู้โง่เขลาให้ถือว่าตำรับตำราใบลานว่าเป็นพระธรรมพระวินัย
โดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันบ้าง
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายเธออย่าเชื่อแต่สมาธิกรรมฐานสมถะวิปัสสนา
ว่าเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้
ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้โดยงมๆ
งายๆ
ให้หมู่ท่านรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเสียก่อนโดยสติปัญญา
ทางปฏิบัติสติปัญญาให้รู้ในการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานวิปัสสนานี้
ก็เพื่อน้อมจิตใจตนให้เข้าสู่พระรัตนตรัยคือ
พระพุทธ-พระธรรม-พระอริยสงฆ์
ให้เป็นที่พึ่งที่อาศัยอย่างเดียวหนึ่งไม่มีสองให้ได้อย่างแท้จริง
เราจะได้อาศัยความสว่างของพระรัตนตรัยนั้นแหละ
เปิดประตูหน้าต่างที่คุมขังของตัณหาอาสวะออกดูทางพระนิพพานว่าไปทางไหน
ทางสายไหนเราก็จะรู้ดูชั่วคราวเป็นพักๆ
เราก็จะรู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไรได้ในความสว่าง
ประตูหน้าต่างของตัณหาอาสวะที่เปิดออกให้ดูนั้นเอง
สิ่งอันใดต้องมีเหตุถึงมีผล
|
|
-
เหตุให้เห็นของสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้นก็คือ
เห็นความเกิดเป็นทุกข์
เห็นความแก่เป็นทุกข์
เห็นความเจ็บเป็นทุกข์
เห็นความตายเป็นทุกข์นั้นเอง
ผู้ปฏิบัติในพุทธศาสนานี้อย่าลืมหลักนี้เป็นอันขาด
ให้พิจารณานึกถึงความตายที่จะมาถึงตนเป็นเนืองนิตย์
ให้ดูลมหายใจเข้า-ออกของตนนั้น
ลมเป็นสิ่งไม่ตาย
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ผู้ปฏิบัติทางตรงตามวิปัสสนาญาณ
ในทางพิจารณาพระไตรลักษณ์นี้
เป็นทางตรงเข้าสู่พระนิพานโดยจำเพาะ
ขั้นแรกให้ตั้งสติความน้อมนึกได้
สัมปชัญญะให้มีความรู้ตัวอยู่เสมอๆ
อย่าให้ขาดให้นึกถึงพุทธานุสติ
ธรรมานุสติ
สังฆานุสติ
มรณะนุสติ
อานาปานุสติ
ให้ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์
หลักนี้เป็นพุทธบัญญัติฯ
|
|
-
-
- ข้อ 1 พุทธานุสตินี้
|
- ให้ผู้ปฏิบัติให้มีสติอยู่ในพุทธาคุณอยู่เสมอๆ
ไป
|
- ข้อ 2 ธรรมมานุสติ
|
- ให้ผู้ปฏิบัติให้มีสติอยู่ในธรรมคุณอยู่เสมอๆ
ไป
|
- ข้อ 3 สังฆานุสติ
|
- ให้ผู้ปฏิบัติให้มีสติอยู่ในสังฆคุณอยู่เสมอๆ
ไป
|
- ข้อ 4 มรณะนุสติ
|
- ให้ผู้ปฏิบัติให้มีสตินึกถึงความตายที่จะมาถึงตน
|
- ข้อ 5 อานาปานุสติ
|
- ให้ผู้ปฏิบัติให้มีสติดูลมหายใจเข้า-ออกของตนนั้น
|
|
|
-
ห้าข้อนี้เป็นหลักปฏิบัติ
ให้พิจารณาอยู่ให้เป็นเนืองนิตย์
ยืน-เดิน-นั่ง-นอน
ให้มีสติยึดนิพพานเป็นอารมณ์
นิพพานนั้นให้มีสติจิตใจผู้ปฏิบัติไม่ให้เปลี่ยนแปลงให้เดินทางเดียว
เพราะพระนิพพานนั้นเป็นธรรมอันไม่ตายที่จะเข้าสู่นิพพานได้
เพราะธรรมอันไม่ตายนั้นเป็นตัวท่านทุกคนไป
ทางปฏิบัตินักบวชทั้งหลายจุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายให้รู้ธรรมอันไม่ตาย
ที่มีอยู่ในร่างสังขารท่านชาย-หญิงนั้นเอง
ถ้าท่านเหล่าใดไม่รู้ธรรมอันไม่ตายแล้วจะไปรู้พระนิพพานได้อย่างไร
มนุษย์และสัตว์ท่องเที่ยวจุติ-ปฏิสนธิวนอยู่ในภพทั้งสามนี้ก็คือ
ลมหายใจเข้า-ออกนั้นเอง ผู้ปฏิบัติทั้งหลายอย่าไปหลงดูสิ่งนอกกาย ให้ท่านพิจารณาดูสิ่งในกายที่เป็นสิ่งไม่ตายนั้น
เราถึงจะรู้ภพภูมิต่างๆ
ได้
ให้ดูในกายของเราก็คือ
ดูลมหายใจเข้า-ออกของเราทุกๆ
คน
ที่ในความเป็นอยู่ทุกๆ
วันนี้ก็อยู่ได้ด้วยเพราะลมหายใจนั้นแหละ
เพราะลมหายใจเป็นธรรมอันไม่ตาย
เราก็จะรู้กายเวทนาจิตธรรมได้ว่ามันเป็นอย่างไร เป็นรูปนามหรือไม่เราจะได้พิจารณาว่ารูปนามนั้นๆ
มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง
เราจะรู้ได้ก็เพราะลมยังอยู่ที่จมูกเรานั้นเอง ถ้าลมไม่อยู่ในจมูกท่านเหล่าใดแล้วไม่มีทางที่จะรู้ได้
เพราะลมหายใจเป็นธรรมอันไม่ตาย
คือตัวท่านชาย-หญิงนั้นเอง
เพราะลมหายใจนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นคัมภีร์ที่เจ็ดมหาสติปัฏฐานสี่
จิต-เจตสิก-รูป-นิพพานรวมอยู่ด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติไปละทิ้งธรรมอันไม่ตายแล้ว จะเป็นสิ่งรู้ได้อย่างไรเพราะตัวเราเป็นธรรมอันไม่ตาย
วนเวียนอยู่ในภพทั้งสามนี้เป็นกัปๆ
แล้วเพราะกาย
กายให้เกิดอารมณ์ต่างๆ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
กายนอก-กายใน-กายในกาย
เวทนานอก-เวทนาใน-เวทนาในเวทนา
จิตนอก-จิตใน-จิตในจิต
ธรรมนอก-ธรรมใน-ธรรมในธรรม
สี่อย่างนี้ให้เกิดอารมณ์พร้อมๆ
กัน
กายนอกให้เกิดอารมณ์เห็นภายนอก
เวทนานอกก็ตามไปในสิ่งภายนอก
จิตนอกก็ให้เกิดรู้สึกในสิ่งภายนอก
ธรรมนอกก็เกิดปรุงขึ้นอยากได้ในสิ่งนั้นๆ
ก็รวมอยู่ในเวทนานั้นเอง
กายในก็เกิดรู้อารมณ์รู้สึกในตนของตน
เวทนาในก็เกิดอารมณ์ดีหรือชั่ว
จิตในก็เกิดอารมณ์ยึดในสิ่งนั้นๆ
ธรรมในก็ปรุงขึ้นในสิ่งภายในก็ไปรวมอยู่ในเวทนาในนั้นเอง
ดี-ชั่วก็ไปอยู่กับเวทนาในทั้งหมด
ภายในกายก็เป็นอารมณ์ในกายของเขาเอง
เวทนาในเวทนาก็เป็นอารมณ์ของอารมณ์เวทนาในเวทนาเอง
จิตในจิตก็เป็นอารมณ์รู้สึกอยู่ในของจิตในจิตนั้นเอง
ธรรมในธรรมก็คือ
ความปรุงขึ้นตามธรรมในธรรมก็รวมอยู่ในเวทนาในเวทนานั้นเอง
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ว่า
รูปธรรมนามธรรม นามธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไม่เที่ยง
นามธรรมทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่เที่ยง
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาย-หญิงก็ดีธรรมเหล่าใดไม่เที่ยง
ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมประกอบทุกข์อยู่
ผู้ปฏิบัติให้ละเว้นปราศจากเสียในธรรมเหล่านั้นอย่าเอามาเป็นอารมณ์
มันมีอยู่ในตนของท่านชาย-หญิงอยู่แล้ว
ให้ละเว้นออกไปเสียให้พ้นมิใช่อยู่ในตำรับตำราใบลานกระดาษที่ไหนนะท่าน
ท่านอย่าไปหลงว่าธรรมเหล่านี้อยู่ในตำรับตำรานะท่าน
ท่านเขียนไว้สำหรับผู้ที่โง่เขลาเท่านั้นได้อ่านดู
และให้พิจารณาจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันบ้างเท่านั้น
ผู้มีสติปัญญาให้พิจารณาด้วยตนเอง
สิ่งอันใดไม่เที่ยงธรรมเหล่าใดไม่เที่ยง
ให้ละเว้นออกไปอย่าเอามาเป็นอารมณ์นึกคิด
อย่าไปเดินตามธรรมเหล่านั้นเพราะธรรมเหล่านั้นเกิดดับๆ
อยู่
เพราะธรรมไม่เที่ยงนั้นเองเราละเว้นเสียให้คงเหลืออยู่แต่ลมหายใจเข้า-ออก
คือตนเป็นสิ่งไม่ตายเราจะรู้ซึ้งโลกซึ้งธรรมได้ก็คือตัวเรา
ลมหายใจเข้า-ออกนั้นเอง
พระพุทธเจ้าตรัสเป็นธรรมไว้ว่า
"อัตตาหิ
อัตตาโนนาโถ
ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนแล"
อัตตาหิแปลว่าเต็มไปด้วย
อัตตาโนนาโถแปลว่าเต็มไปด้วยความพร้อมเพรียงด้วยลมหายใจเข้า-ออก
ถึงเป็นตนของตนเป็นที่พึ่งของคนแลดังนี้
-
|
|
-
ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
สิ่งไม่เที่ยงทั้งหลายตายแตกดับสูญไปทั้งหมดเหลืออยู่แต่ตนของท่านคือ
ลมหายใจเข้า-ออกเป็นสิ่งไม่ตาย
ถึงเรียกว่า
อัตตาหิ
อัตตาโนนาโถ
ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนแล
อัตตาโนนาโถ
โนแปลว่าใจ
อัตตาแปลว่าเต็มไปพร้อมด้วยลมหายใจเข้า-ออก
นาโถแปลว่าพัฒนาไปได้ทุกอย่าง
สิ่งอันใดในโลกนี้จะยิ่งกว่าใจไปนั้นย่อมไม่มี ผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาย-หญิงเราจะพิจารณาเอาอะไรมาเป็นที่พึ่งทางใจของเรา
อันเป็นสิ่งไม่เปลี่ยนแปลงเป็นทางที่แน่นอนมันคืออะไร
ข้อนี้เป็นปัญหาของเราทุกๆ
คนไปให้ตั้งไว้ในใจเราเสียก่อน
ถ้าเราไม่มีปัญหาตั้งไว้ในใจเรา
ก็จะไม่รู้ว่าจะพิจารณาแก้ทุกข์แก้สุขให้ปราศจากออกจากกองทุกข์ได้อย่างไร
เราก็จะหลงอยู่ในกองทุกข์อยู่เสมอๆ
ไปเท่านั้น
เพราะไม่รู้ปัญญาสิ่งอันใดในโลกนี้ก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น
ปัญหาใหญ่ในโลกมนุษย์และสัตว์ก็คือสังขารร่างกายของชาย-หญิงนี้เอง
เราอย่าไปถือว่าได้เกิดมาแล้วจะทำอย่างไร
เราก็ต้องต่อสู้ไปตามกรรมตามเวรไป
พูดเช่นนี้นึกคิดเช่นนี้เหมือนผู้จมน้ำจะหาทางขึ้นฝั่งมิได้เลย
เราให้พิจารณาดูว่าทุกข์อะไรในโลกนี้
จะยิ่งกว่าร่างกายสังขารของมนุษย์และสัตว์ย่อมไม่มี
สังขารวัตถุนานาประการในโลกจักรวาลนี้เป็นของไม่เที่ยง
แก้วแหวนเงินทองเพชรพลอยนานาชนิด
ยศถาบรรดาศักดิ์ชื่อเสียงทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นรูปธรรมนามธรรมด้วยกันทั้งนั้น
รูปธรรมนามธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไม่เที่ยง
สิ่งไหนไม่เที่ยงสิ่งนั้นประกอบทุกข์อยู่นะท่านชายหญิง
เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติก็มี
เปลี่ยนแปลงไปตามบุคคลบัญญัติก็มี
ท่านกล่าวไว้ว่าสิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งไม่เที่ยง
สิ้นสูญดับไปตามธรรมชาติธรรมดาของเขาเอง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าพระรัตนตรัยคือโมกขธรรมเก้า
เป็นทางออกของพระอรหันต์
เป็นวิปัสสนาญาณเก้า
เป็นทางโลกุตรธรรมโดยจำเพาะ
เป็นทางสายเดียวหนึ่งไม่มีสอง
มิได้พิจารณาในรูปนามและรูปธรรมนามธรรมแต่อย่างใด
นักบวชชาย-หญิงที่มีจิตเลื่อมใสในพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า
รู้ในทางโอวาทคำสอนของนักบวชว่าเป็นโลกุตรธรรม รู้ว่าทางนักบวชนี้หนึ่งไม่มีสอง
ก็ยกจิตตนขึ้นสู่พระไตรรัตน์รู้ว่าทางสายนี้เป็นทางพระนิพพานพ้นทุกข์ได้จริง
ความรู้ซึ้งนี้ท่านว่าวิปัสสนาญาณเก้า
ความรู้ว่าถูกต้องแล้วนั้นแหละเรียกว่าญาณไม่ต้องสงสัยดอกท่าน
ต่อไปก็เกิดปัญญาญาณความรู้แจ้งแห่งปัญญาความหยั่งรู้เท่าทันสังขารตนและผู้อื่นได้ว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
สังขารทั้งหลายนี้ให้เกิดความเป็นทุกข์
สังขารทั้งหลายเหล่านี้ตายแตกดับพลัดพรากจากกันไปด้วยความไม่เที่ยง
ด้วยความทุกข์ด้วยความดับไป
ผู้ปฏิบัติรู้แจ้งด้วยปัญญานั้นเองก็จะปล่อยวางสังขารตนและผู้อื่นเสียได้
จิตทั้งหลายก็จะสงบได้ฯ
ก็ยังมีอยู่อีกคือ จิต-เจตสิก-รูปนิพพาน ให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงใช้ปัญญาญาณความรู้แจ้งที่บังเกิดมีขึ้นในตนนั้นพิจารณาต่อๆ ไป ในเจตสิกรูปนิพพานต่อไปว่าอะไรเป็นอะไร จะรู้ได้ในปัญญาตนนั้นเองเพราะจิตแต่ละท่านเป็นไฟอยู่แล้ว สว่างยิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์ที่ส่องโลกเราอยู่ทุกวันนี้ให้รู้กันบ้าง อย่าไปยึดเอาในความมืดอวิชชาอันเป็นสิ่งจำได้หมายรู้อุปาทาน ว่าเรารู้หลงอยู่ในความนึกเดาเอา หลงไปคาดคะเนเอาว่าคงจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ให้รู้เสียว่าจิตเรานี้ท่านเป็นไฟสว่างยิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์เรารู้แล้วเราเห็นแล้ว
เราจะได้ปล่อยวางสัญญาอุปาทานเสียได้
ก็เพราะจิตปัญญาของตนมีแสงสว่างตนของตนเป็นที่พึ่งของตนที่มีอยู่แล้วสามารถเข้าสู่นิพพานได้จำเพาะตนเอง
เจตสิกเป็นสื่อของจิตกระทำให้จิตมืดเกิดดับ
ๆอยู่ให้รู้ด้วยตนเอง
ด้วยไฟสว่างของจิตด้วยปัญญาแสงสว่าง
รู้เท่าเจตสิกว่าเป็นสื่อสัมพันธ์กันให้ก่อเกิดตัณหาตามหลักธรรมว่า
(สัมประยุตตา)
ก็คือ
ตาเห็นรูปหูได้ยินเสียง
จมูกถูกกลิ่นลิ้นลิ้มรส
กายรู้ถูกต้องใจรู้เกิดนึกคิด
ให้เกิดตัณหาอุปาทานอาสวะไม่มีที่จะสิ้นสุดไปได้แต่อย่างไร
นี้แหละผู้ปฏิบัติทั้งหลาย-ชายหญิงอย่าไปหลงเล่าเรียนเรื่องเจตสิกว่าเรารู้เอามาเป็นธรรมมัจฉาสู่กันฟังเล่นๆ
ไปเป็นผู้หลงอยู่ในสิ่งที่ไม่เที่ยง
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าเป็นผู้หลงตายแล้วไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
รู้อยู่ในตำนานไม่รู้ว่าค้านทางเดินของตนเอง
จิตเจตสิกมีอยู่ทุกตัวคนไป
ท่านให้ละเจตสิกนั้นเสีย
ให้เหลืออยู่แต่ไฟของจิตด้วยความสว่าง
ปัญญาเป็นรูปนิพพาน
ก็จบสิ้นลงถึงที่สุด
เอวังโหตุ.
หลวงพ่อชม
อนํคโณ (พระครูสังฆรักษ์)
ผู้จำแนกธรรมถวายไว้ในพระพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สืบๆ
ถาวรต่อไป.
-
พุทธัง สะระณัง
คัจฉามิ
-
ธัมมัง สะระณัง
คัจฉามิ
-
สังฆัง สะระณัง
คัจฉามิ
-
พุทธะ มะอะอุ
นะโม พุทธายะ
(ตรงนี้ให้ว่า
7 จบดีนักแล)
-
ให้ภาวนาไหว้พระทุกเช้าเย็นจะมีผลอยู่ในปัจจุบันและอนาคต
แผ่เมตตาข่มอำนาจโทสะของตนเองได้ผลดีมาก
อาตมาได้ใช้มาแล้วคำแผ่เมตตาว่าให้ว่าดังนี้คือ
"ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด"
ให้ภาวนาเมื่อโทสะเกิดขึ้นแก่เราก็จะดับไป.
-
|
|