-
จัดงานถือบวชชีพราหมณ์
|
|
-
อยู่ต่อมาถึงเดือนกุมภาพันธ์
พ.ศ. 2517
การก่อสร้างพระเจดีย์ก็สำเร็จลงเรียบร้อย
อีกสองเดือนต่อมาคือถึงเดือน
4 (เดือนมีนาคม)
ปีนั้นตรงกับวันขึ้น
9 ค่ำ
ก็จัดงานประจำปีเป็นงานถือบวชชีพราหมณี-พราหมโณ มีกำหนด 7 วัน 7 คืน
ตามอุปนิสัยของนักบวชในทางพระพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ได้สร้างบุญบารมีมาด้วยเนกขัมมะบารมี
เป็นสายทางรักษากาย-วาจา-ใจ
ของตนแต่ละท่านเพื่อให้รู้แจ้งมรรคผลนิพพานที่ปราศจากอามิสทั้งปวงให้ไกลจากจิตใจของตน
ให้รู้แจ้งในทางหนึ่งไม่มีสองเรียกว่า
พรหมจรรย์
ให้รู้แจ้งในทางพรหมจรรย์ของตนด้วยว่า
เป็นทุกข์หรือเป็นสุข
ให้รู้แจ้งในทางทุกข์ในสิ่งที่เกิดทุกข์ด้วย
ทุกข์นั้นมาจากที่ไหน
สิ่งอันใดเป็นสิ่งประกอบทุกข์ให้รู้ด้วย
รู้ในทางอันเป็นสิ่งประกอบทุกข์แล้ว
ให้ปล่อยวางเสีย
ในเวลาเราถือบวชชีพราหมณ์แห่งพรหมจรรย์ตามกำหนดเวลาของเรา
เพื่อกระทำจิตใจของเราเพื่อรักษากาย-วาจา-ใจของเรา
เพื่อให้เกิดบุญเกิดกุศลบารมีของเราในการถือบวชเ
พื่อให้เกิดมรรคผลเข้าสู่ความสุขต่อๆ
ไปในทางศรัทธาบารมี, ศีลบารมี,
เนกขัมมะบารมี, ขันติบารมี,
ปัญญาบารมี, วิริยะบารมีฯลฯ ต่อๆ
ไปเป็นสายทางสร้างบุญบารมีเพื่อเข้าสู่มรรคผลนิพพานต่อๆ
ไปฯ
|
|
-
นิพพานแปลว่า
สุขที่ปราศจากอามิสทั้งปวง
มีแต่สุขอย่างเดียวเรียกว่านิพพาน
เพราะเราอาศัยอามิสกันอยู่ว่าเราว่าเขาถึงได้มีแต่ความอยาก
ความหึงหวง
ความกลัวสามอย่างนี้ปิดความสุขในจิตใจของตนไปทั้งหมด
อามิสทั้งปวงนี้ล้วนแต่จะได้พลัดพรากจากกันไปในท้ายที่สุด
ถึงเวลาพลัดพรากไปแล้วก็จะเกิดความโทมนัสโศกเศร้าเสียใจรำพึงรำพันอาลัยไปต่างๆ
โดยไร้เหตุและผลด้วยตนเอง
เพราะตนไปหลงใหลไปตามกายเวทนา
หลงตามธรรมกายว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาว่าเป็นรูปเป็นนามกายทิพย์กายแก้ว
ว่าเป็นกายวิเศษอันยิ่งแต่มิได้รู้ซึ้งถึงกายเวทนา
เพราะถ้ามีกายอันใดใดก็ตามต้องมีเวทนา
ถ้ามีจิตต้องมีธรรมอยู่ในสภาวะของธรรม
ถ้ามีจิตก็มีสภาวะจิตมีอยู่ในจิตนั้นๆ
เอง
ทางพุทธบัญญัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตัดทางไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุสามเณรชีพราหมณ์อุบาสกอุบาสิกา หมู่ท่านรู้ธรรมเหล่าใดว่าเป็นธรรมเป็นทางปฏิบัติของพระพุทธเจ้า
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้นขอให้หมู่ท่านพิจารณากายอยู่เป็นเนืองๆ
ให้พิจารณาเวทนาอยู่เป็นเนืองๆ
กายนี้เธอให้รู้สึกว่าแต่กายนี้มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขาแต่อย่างใด
เธออย่าไปเห็นผิดหลงผิดว่ากายธรรมเหล่านี้ว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา
เธออย่าไปสงสัยในเรื่องกายนี้ว่าเป็นตัวตนเราเขา เพราะว่ากายนี้มีเวทนา
กายนี้ไม่เที่ยง
กายนี้เป็นทุกข์
กายนี้อันตรธานไปในท้ายที่สุดจะมีแต่ความโทมนัสโศกเศร้าโสกาอุปายาสรำพึงรำพันเท่านั้น
ให้เธอละสักกายะทิฐินั้นเสีย
อย่าถือว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาแต่อย่างใด
กายนี้เป็นส่วนหนึ่งมีแต่จะแตกทำลายไปในท้ายที่สุด
จิตใจเราท่านเป็นลม ไฟ สิ่งนี้ไม่แตกไม่สลายไม่สูญแต่อย่างใด
ให้ละวิจิกิจฉาความสงสัยในเรื่องกายนี้ไม่มีแก่เราฯ
|
|
-
ต่อไปให้พิจารณาละสีลัพพตปรามาสคือ
จำพวกถือศีลพรต
ที่มีอยู่จำพวกหนึ่งถือไปตามลัทธิไสยศาสตร์
เป็นลัทธินักบวชชาย-หญิงจำพวกหนึ่ง
นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์วิรัตถือศีลแสวงหา
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียกกลมนต์วิชาต่างๆ
บวงสรวงอาศัยวิญญาณต่างๆ
เข้าจ้าวเข้าทรงเรียกชื่อเรียกเสียงเป็นมดเป็นหมอ
เอาศีลบังหน้าจะนุ่งขาวห่มขาวหรือเหลืองก็ตามแต่เป็นจำพวก
ถืออยู่ในสีลัพพตปรามาสด้วยกันทั้งนั้น
แปลว่าเป็นผู้หลงผิดเห็นผิดไปติดอยู่ในสักกายะทิฐิ
ความเห็นว่ากายนี้เป็นตัวตนบุคคลเราเขาอยู่ เลยเป็นผู้ติดอยู่ในสีลัพพตปรามาสไป ให้เราละเสียในธรรมเหล่านี้ที่เป็นศีลพรตเป็นศีลประจำโลกภพทั้งสามนี้
มิใช่เป็นศีลของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบัญญัติขึ้นแต่อย่างใด
พระพุทธเจ้าท่านได้อบรมสั่งสอนให้รู้จักละสักกายะทิฐิ-วิจิกิจฉาและละสีลัพพตปรามาส
ให้ออกไปจากจิตใจของตนๆ
เสียแต่บัดนี้
ถ้าท่านชาย-หญิงละออกจากธรรมเหล่านี้ได้แล้ว เรียกว่าจิตใจท่านเหล่านั้นเข้าสู่โสดาบันบุคคลแล้ว
จะมาเวียนว่ายเกิดตายอยู่ในภพมนุษย์นี้อีกเพียง
7
ชาติเท่านั้นก็จะเข้าสู่พระนิพพานในชาติที่เจ็ดนั้นเอง
ตามพุทธบัญญัตินี้เป็นทางปฏิบัติในทางพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นสายทาง
ที่จะพิจารณาในทางสมาธิวิปัสสนาพิจารณาในอนาปานุสสติ
ให้ดูลมหายใจเข้า-ออกของตนอยู่เป็นเนืองๆ
ให้นึกถึงความตายที่จะมาถึงกายที่อาศัยอยู่เป็นเนืองๆ จนให้รู้แจ้งว่ากายนี้มิใช่เป็นตัวตนบุคคลเราเขาแต่อย่างใด
ลม-ไฟ-จิตใจที่ปฏิสนธิอยู่ในกายนี้เป็นเราเป็นเขารู้เป็นแน่นอน
เพราะว่าจิตเป็นไฟใจเป็นลม
จิตเป็นสิ่งไม่ตายลมหายใจเข้า-ออกเป็นธรรม
เป็นสิ่งไม่ตายเป็นแน่นอน
ก็ละสักกายะทิฐิได้เป็นแน่นอนตามพุทธบัญญัติว่าเป็นขั้นโสดาบัน
ละเว้นไปตามธรรมสามประการเป็นความแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงฯ
|
|
-
ต่อไปก็ปฏิบัติเพื่อเข้าสู่พระสักกิทาคามี
ตั้งอยู่ในกรรมฐานห้าวิปัสสนาพิจารณาเกศา-โลมา-นขา-ฑันตา-ตะโจ
พิจารณาห้าอย่างนี้จนแยบคาย
คลายจากความกำหนัดให้ขาดจากกามตัณหาสาม-โลกธรรมแปดประการจากสันดานของตน
เพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยหนึ่งไม่มีสองต่อไป การปฏิบัติจิตตนให้ขาดจากกิเลสกาม
ตัณหาสามต้องเดินตามศีล-สมาธิ-ปัญญา
เป็นทางที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจำแนกทางโลกุตรธรรมไว้เป็นพุทธศาสนา
เพื่อให้พระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา
บุรุษสี่เหล่านี้ให้เดินตามทางของพระพุทธองค์ไป
เป็นทางมรรคผลนิพพานโดยแท้จริงคือ
ให้วิปัสสนาพิจารณาในกรรมฐานห้าอานาปานุสสติ ให้ยึดเอาพระพุทธ
พระธรรม
พระอริยสงฆ์
มาเป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยของจิตเรา
สิ่งอื่นจะยิ่งกว่าย่อมไม่มี
ทำจิตให้อยู่ในสติสัมปชัญญะ
ปัญญาให้รู้แจ้ง
อยู่เสมอไป
ให้รู้ทุกข์
ให้รู้ในสิ่งที่เกิดเป็นทุกข์
ให้รู้ในสิ่งประกอบทุกข์ด้วย
ให้รู้ออกจากทุกข์
ให้รู้ปราศจากทุกข์
ให้รู้ดับทุกข์ด้วยฯ
|
|
-
ต่อนี้เป็นทางปฏิบัติสายทางนิพพานหนึ่ง
นิพพานัง
ปรมัง
สูญญัง
ที่ละความโลภ
ความโกรธ
ความหลง
แล้วเหลือแต่เบญจขันธ์คือ
รูป 1 เวทนา 1
สัญญา 1 สังขาร 1
วิญญาณ 1
ห้าอย่างนี้เป็นเบญจขันธ์ให้พิจารณาให้ละความโลภความโกรธความหลง
ออกจากสันดานจิตใจของตนต่อๆ
ไป
ให้ใช้วิปัสสนาญาณในความหยั่งรู้ที่มีอยู่ในตนนั้นมาพิจารณาญาณให้แจ่มแจ้งด้วยสติญาณ
ด้วยสัมปชัญญะญาณ ด้วยปัญญาญาณ
ทั้งสามนี้มีอยู่สามชั้น
ญาณแปลว่า ความรู้แจ้ง
นั้นเอง
ญาณชั้นที่หนึ่งคือความรู้ทางนอกทั่วๆ
ไปนั่นเอง ญาณชั้นที่สองเรียกว่าญาณใน
ญาณชั้นที่สามเรียกว่าญาณในญาณ
ให้พิจารณาในความรู้ของตนที่มีที่รู้นั้นให้สมบูรณ์
อย่าไปปฏิเสธเสีย อย่าไปพูดไปคุยนอกเรื่องนอกราวเสีย อย่าไปพูดไปคุยโดยโกรธเคืองคับแค้นใจเสีย ให้ทำความรู้ของตนที่มีอยู่นั้นให้สมบูรณ์เพื่อสอนผู้อื่นต่อไป
ความรู้เหล่านี้เรียกว่าวิปัสสนาญาณเก้าเป็นหน้าที่รู้แจ้งเข้าสู่พระนิพพาน
คือ นิพพานัง
ปรมัง
สุขขัง
สุขอื่นใดยิ่งกว่าพระนิพพานย่อมไม่มี
เพราะเป็นธรรมละเว้นปราศจากส่งคืน
ไม่อาลัยในธรรมทั้งปวง
|
|
-
การจัดงานถือบวช
ความหมายเพื่อภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา
ออกบวชเพื่อสร้างบารมีบำเพ็ญสมณะธรรมในทางเนกขัมมะบารมีกันบ้าง
ให้รู้ทางศีล-สมาธิ-ปัญญา
อันเป็นทางตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ากันบ้าง
ให้รู้ในทางทาน-ศีล-ภาวนากันบ้าง
เพื่อให้รู้บุญรู้บาปว่ามีจริง
พร้อมทั้งธรรมทานอาตมาถึงได้จำแนกธรรมทางของพระพุทธเจ้าไว้ในที่นี้
เพราะว่าธรรมมีอยู่สองเหล่าสองทางด้วยกัน
ธรรมเหล่าหนึ่งที่มิใช่ธรรมมิใช่วินัยของพระพุทธเจ้าก็มี
ส่วนธรรมส่วนวินัยของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้วก็มี
เพื่อมิให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงหลงไปตามธรรมที่สะสมที่ติดอยู่ในกองทุกข์ไปหาว่าเป็นสุข
ธรรมที่เป็นทางของพระพุทธเจ้าโดยแท้
เป็นธรรมที่ปราศจากทุกข์ในกองตัณหา
เป็นธรรมปราศจากอามิสทั้งปวง
มีจิตว่าง-วางเฉย เป็นมูลเลิกละจากอิฏฐีรมณ์-อนิฏฐีรมณ์รู้แจ้งในธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาญาณที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
ให้ขันติความอดทน ให้วิริยะความขยันหมั่นเพียรต่อๆ
ไป ให้ถึงท้ายที่สุดขั้นบรรลุดังนี้
เพื่อแนะแนวทางมรรคผลนิพพานให้แจ้ง
แก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายให้รู้แจ้งถึงสุข
ให้ละออกจากทุกข์
ให้รู้เหตุแห่งทุกข์
ให้รู้ปราศจากทุกข์
ให้รู้ส่งคืนแห่งทุกข์
ให้รู้ปล่อยวางสิ่งเป็นทุกข์
อย่าไปอาลัยในสิ่งเหล่านั้น
ให้รู้จักปราศจากอามิสทั้งปวงด้วยจิตว่างวางเฉยคือ
ตาเห็นเราก็รู้ หูได้ยินเราก็รู้
อะไรๆ
เราก็รู้ให้วางเฉยเสีย
ให้น้อมเอาจิตเราให้เข้าสู่สิ่งไม่มี
ที่ปราศจากทุกข์ทั้งปวง
ให้ทำจิตให้เบิกบาน
ให้สว่างให้แจ่มแจ้งให้จิตเข้าถึงพระพุทธ
พระธรรม
พระอริยสงฆ์
ขอให้รู้จักว่าพระพุทธ
พระธรรม
พระอริยสงฆ์มีพร้อมแล้วให้ยึดเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์คือ
สุขอย่างเดียวหนึ่งไม่มีสอง
สุขที่ปราศจากอามิสทั้งปวงเป็นสุขอย่างยิ่งสิ่งอื่นจะสุขยิ่งกว่าพระนิพพานย่อมไม่มี
นิพพานนั้นเกิดเป็นทุกข์ก็ไม่มี
แก่เป็นทุกข์ก็ไม่มี
เจ็บไข้เป็นทุกข์ก็ไม่มี
ตายเป็นทุกข์ก็ไม่มี
พระนิพพานพ้นจากทุกข์ทั้งปวงนะท่านชาย-หญิง อย่าไปหลงเกิดหลงตายอยู่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ที่ไม่เกิดไม่ตายก็คือลมหายใจเข้า-ออกไฟลมจิตใจนั้นเองฯ
|
|
-
ผู้ปฏิบัติให้มีสติปัญญา
ให้รู้จักในธรรมโลกุตรธรรม
เป็นทางธรรมคำขาดไม่ติดต่อกับทุกข์สมุทัยแต่อย่างใด
นิโรธเป็นเครื่องดับทุกข์
นิโรธคือให้ปราศจาก
1 ให้ละเว้น 1 ให้ส่งคืน
1
ให้ตัดอาลัยในสิ่งเหล่านั้น
1
สี่อย่างนี้ก็เป็นคำขาดออกจากทุกข์สมุทัย
ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์อยู่ให้ขาดออกจากกัน
ให้มีแต่สุขอย่างเดียวหนึ่งไม่มีสอง
ให้พิจารณาวิปัสสนาให้รู้ว่าธรรมเหล่านี้เป็นคำขาดจากโลกเป็นแน่นอน
เป็นสายทางสิ้นจากอาสวะเข้าสู่พระนิพพานต่อไป
สิ้นจากความเกิดเป็นทุกข์
สิ้นจากความแก่เป็นทุกข์
สิ้นจากความเจ็บเป็นทุกข์
สิ้นจากความตายเป็นทุกข์
ไม่มีแก่ท่านชาย-หญิงเหล่านั้นแต่อย่างใด
ถึงได้เรียกว่า
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ภพทั้งสามนี้จะสุขกว่าจะยิ่งกว่าย่อมไม่มี
สิ่งอันใดมีทุกข์อยู่
สิ่งอันนั้นไปนิพพานไม่ได้
ไปได้แต่สุขอย่างเดียว
สิ่งอันใดมีโรคมีภัยอยู่
ไปนิพพานมิได้ ให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาละออกจากภัยนั้นๆ
เสียให้สิ้นจากจิตใจของท่านชายหญิง
ให้สิ้นไปจากสันดานในภพทั้งสามนี้ให้สิ้นไป ให้ไกลจากอาสวะทั้งหลายไม่มีแก่ตน
ไปได้ทุกตัวคนนิพพานอยู่ที่นั้นเป็นแน่นอน ความสงสัยก็ไม่มีแก่ท่านเหล่านั้นแต่อย่างใด
ฯ
|
|