ตาที่สาม

 

               อาตมาได้บอกลาชีทั้งสองแล้ว  จึงออกเดินทางในวันเดียวกัน  ได้มาหยุดพักค้างคืนอยู่บ้านนางฟุ้ง  นายกรวย  จังหวัดนครนายก  ด้วยเหตุบังเอิญในวันนั้น  มีเด็กคนหนึ่งได้หายไปจากบ้านในตลาดใกล้ๆ นั้นเอง  ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก  ช่วยสืบถามค้นหากันวุ่นวายเป็นหมู่ๆ  โจษกันไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวไม่รู้ว่าหายไปที่ใด  บางท่านไปหาพระหาหมอดูให้ช่วยจับยามสามตาให้  หมอก็ได้แต่พูดต่างๆ นานากันไปคนละทิศละทาง  ไม่รู้จะเชื่อทางไหนดี  ญาติพี่น้องและบิดามารดาของเด็ก  เที่ยววิ่งหาร้องไห้ไปตามๆ กัน  อาตมาเห็นเข้า  ก็เกิดสงสัย  จึงถามนายกรวยว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น  นายเย็นและนายรุณ  ซึ่งอยู่ในที่นั้นได้ตอบขึ้นว่า “เด็กหาย  ผู้ที่ร้องไห้คนนี้แหละเป็นบิดาและญาติของเด็ก  ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ช่วยตรวจดูให้ทีเถอะครับ  คิดว่าสงสารเขา  เขาเที่ยวตามหากันมานานแล้วไม่พบ  ไม่ทราบว่าหายไปไหน  จึงได้พากันมาหาท่านอาจารย์นี่แหละ”

 

               อาตมาได้พิจารณาดูโดยละเอียด  แล้วจึงถามขึ้นว่า “เป็นเด็กผู้หญิงใช่ไหม”  ญาติของเด็กได้ตอบว่า “เป็นผู้หญิง” อาตมาจึงได้บอกว่า  เด็กคนนี้ได้ตกน้ำตายเสียแล้ว  จมอยู่ใต้น้ำในคลองหน้าวัดนั้นแหละ  ที่ตรงนั้นน้ำลึกมาก  ศพของเด็กนอนคว่ำหน้าอยู่ใต้น้ำ  ใกล้กับเสาด้านทิศตะวันตก  ข้างศพมีวิญญาณเด็กเพศชายผู้ตายไปก่อนแล้วเฝ้าอยู่สองคน  วิญญาณนั้นคนหนึ่งผิวดำอีกคนหนึ่งผิวขาว  คนดำเปลือยกายคนขาวนุ่งกางเกงสีขี้ม้าเขียวๆ  ไม่ใส่เสื้อวิญญาณคนดำคงเฝ้ารักษาศพอยู่ใต้น้ำใกล้เสา  วิญญาณคนขาวยืนอยู่บนฝั่งทางด้านวัดโพธิ์

 

                พออาตมาพูดจบนายกรวย  นายรุณ  นางเย็น  จึงพูดขึ้นว่า “จริงครับท่านอาจารย์ตรงนั้นเด็กเคยตกน้ำตายจริง สองเดือนมาแล้ว  ขณะที่ดูที่พูดกันอยู่นั้นเป็นเวลาเลยเที่ยงไปแล้ว  ญาติพี่น้องมิตรสหายบิดามารดาของคนตาย  จึงได้ช่วยกันค้นหาอีก  บ้างก็เอาอวนลาก  แหทอด  ดำน้ำลงไปคลำหาตามที่อาตมาได้ชี้แจงไปแล้วนั้น  ตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงกลางคืนก็ยังไม่เจอศพ  ต่างคนต่างเหนื่อย  หนาวสั่นกันไปทั้งนั้น  จึงชวนกันขึ้นมาจากน้ำจนหมด  ฝ่ายบิดามารดาของเด็กก็ร้องไห้  ไปตามอาตมาที่บ้านนายกรวยอีก  เล่าความให้ฟัง  แล้วขอร้องอาตมาว่า “ท่านอาจารย์  กรุณาช่วยสงเคราะห์ดิฉันสักหน่อยเถิด  หากันจนทั่วแล้วไม่พบ  ท่านอาจารย์ต้องการอะไร  ดิฉันจะหาให้  จะต้องการเงินทองสักเท่าไรก็ขอให้บอกมา  ดิฉันต้องการแต่เพียงได้เห็นบุตรฉันขึ้นจากน้ำเท่านั้น  นิมนต์ท่านอาจารย์ได้โปรดไปช่วยชี้สถานที่ให้ดิฉันสักหน่อยเถิด”

 

                อาตมาได้ตอบว่า “ฉันไม่เอาฉันไม่ต้องการอะไรหรอก  ฉันกำลังจะไปชี้สถานที่ให้โยมอยู่เหมือนกัน  เพราะเมตตาสงสารพวกโยม  ทำไมหากันจนป่านนี้มันก็ดึกมากแล้ว  มิหนาวกันแย่หรือ” พวกที่ดำน้ำคลำหาได้ตอบว่า “จริงครับท่านอาจารย์พวกผมหนาวแย่แล้วครับ  หากันเต็มไปหมดในแม่น้ำลำคลอง  ผู้คนก็มากหลายไม่มีใครพบ  พระภิกษุสามเณรชาวบ้านทั้งหลาย  ท่านก็ขึ้นกันหมดแล้ว  เพราะทนหนาวไม่ไหว  เหลือแต่พวกผมนี่แหละครับ  นิมนต์ท่านอาจารย์เถอะ” พอคณะที่มาหาพูดจบ  อาตมาจึงพูดขึ้นว่า “ไปซีฉันจะไปชี้ให้” พูดแล้ว  อาตมาก็ลงจากบ้านนายกรวยเดินไปทันที  

 

               ขณะที่อาตมาไปถึงที่เกิดเหตุ  ประชาชนในตลาดทั้งหลาย  ประกอบด้วยข้าราชการ  ตำรวจ   และนักเรียน  ได้พากันไปเฝ้าคอยดูเหตุการณ์  ที่ท่าน้ำหน้าวัดโพธิ์จนเต็มไปหมด  เพราะทุกคนที่ทราบเรื่องต่างก็สงสัยแคลงใจไม่วาย  ต่างก็อยากจะทราบความจริงว่าศพจมน้ำอยู่จริงหรือเปล่า  อยู่ตรงไหนกันแน่  อาตมาไปถึงแล้ว  ได้เดินหลีกฝูงชนขึ้นไปบนสะพานหัวด้วน  ยืนสังเกตห่างจากน้ำประมาณหนึ่งศอก  ขณะนั้นฝ่ายบิดามารดาญาติมิตรของผู้ตายได้ร้องไห้ครวญคราง  บ้างตะโกนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวร้องบอก  บางคนได้ตามไปมุงดูรอบอาตมา  ตะโกนถามว่า  อาจารย์อยู่ไหน  ทั้งนี้เพราะเป็นเวลากลางคืน  ผู้คนส่วนมากได้รู้จักว่าใครเป็นใคร  ทั้งเสียงร้องตะโกน  ดังกันอลเวงไปหมด  อาตมาไม่สามารถจะพิจารณาดูอะไรในสมาธิ  ให้สว่างแจ่มแจ้งได้   ทั้งนี้เพราะมีเสียงทั้งหลาย  คอยทำลายรบกวนอยู่อึงมี่  อาตมาจึงย้อนกลับจากริมน้ำมาข้างบนพร้อมกับขอร้องว่า “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย  ขอให้ทุกคนจงอยู่ในความสงบ  อย่าส่งเสียงร้องหรือคุยกัน ขอให้เงียบกริบจากเสียงทั้งหลายเถิด  ขอเวลาเพียงสามนาทีเท่านั้น” พูดขาดคำ  อาตมาได้ไปยืนอยู่ริมน้ำตามเดิม  พิจารณาแล้วพูดกับนายรุณว่า “ทิศตะวันตกจากที่ฉันยืนอยู่นี้ มีเสาต้นหนึ่งปักอยู่ใต้น้ำใช่ไหม”  นายรุณตอบว่า “มีครับ”  อาตมาจึงบอกให้นายรุณ  ไปยืนอยู่บนหัวเสาต้นนั้น  นายรุณเริ่มว่ายน้ำไปยืนอยู่ตามที่ที่อาตมาบอก  ขณะที่นายรุณยืนอยู่บนหัวเสา  ระดับน้ำอยู่แค่อกของนายรุณพอดี  น้ำตรงนั้นจึงลึกทั้งหมดประมาณสี่วา  อาตมาจึงบอกแก่นายรุณว่า “ตั้งใจให้ดีนะนายรุณฉันจะบอก” นายรุณตอบว่า “ผมใจไม่ค่อยจะดีชักจะกลัวเสียแล้วท่านอาจารย์” อาตมาจึงพูดว่า “นายรุณฉันอยู่ที่นี่  นายรุณไม่ต้องตกใจ  ไม่ต้องกลัว”  นายรุณตอบว่า “ถ้าอย่างนั้น  ผมเชื่อท่านอาจารย์ผู้เดียว  ถ้าอาจารย์ไม่ให้ผมเป็นอะไร  ผมก็ไม่กลัว” เพราะเชื่อท่านอาจารย์” อาตมาได้พูดต่อไปว่า “เอาละนะตั้งใจให้ดีฉันจะบอก  ยืนให้ตัวตรงกับหัวเสานะนายรุณ”  นายรุณได้ตอบว่า “ยืนตรงแล้วครับ” อาตมาจึงได้บอกว่า “ศพจมอยู่ทางทิศตะวันตก  ข้างต้นเสาที่กำลังยืนอยู่นั้นเอง  อยู่ห่างเสาประมาณ 1  เมตร  ให้นายรุณดำน้ำลงไปตามต้นเสานั้นแหละ  เวลาจะโผล่ขึ้นมาก็ให้ขึ้นมาตามเสาอันนั้น” พออาตมาพูดจบลง  นายรุณจึงชี้มือ  ไปทางทิศตะวันตกข้างต้นเสานั้น  และพูดขึ้นว่า “ตรงนี้ใช่ไหมท่านอาจารย์” อยู่ตรงมือนายรุณชี้นั้นแหละ” อาตมาบอก  นายรุณก็พูดขึ้นว่า “ผมจะลงนะท่านอาจารย์” “ลงไปเถิดนายรุณไม่เป็นอะไรหรอก”

 

               พออาตมาพูดขาดคำนายรุณก็ดำน้ำไปทันที  ครู่หนึ่งก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับพูดว่า  “ช่วยกันๆ รับศพหน่อย”  คนที่รออยู่ข้างบน  ได้ช่วยกันนำศพขึ้นมาบนบกทันที  ต่อจากนั้นอาตมาได้ขอร้องให้ผู้คนที่มุงดูทั้งหลาย  ให้ถอยห่างออกไปจากศพประมาณ 2-3 วา  แล้วอาตมาจึงได้พิจารณา  ดูวิญญาณของเด็กผู้ตาย  ว่าวิญญาณเขาได้หายไปไหน  จะกลับมาทำอิทธิฤทธิ์อาละวาด  หรือให้โทษแก่มนุษย์ผู้มีสังขารครองอยู่หรือไม่  เมื่อทราบว่าวิญญาณเด็กคนนี้  ไม่ก่อการอาละวาดต่อมนุษย์และสัตว์แล้ว  อาตมา  จึงหลีกไปพักผ่อนที่บ้านนางฟุ้งตามเดิม

 

               ในตอนเช้าวันนั้น  นายกรวยมาตามให้ไปฉันอาหารที่บ้าน  ขณะที่อาตมาไปถึงแล้วนั้นประชาชนทั้งหลาย  ได้พากันมามุงดูอาตมาที่บ้านนายกรวยเป็นอันมาก  แต่ก่อนนานมาแล้ว  อาตมาเที่ยวไป-เที่ยวมาอยู่แถวนั้น  ทำเพียรปฏิบัติอยู่ตามป่าตามเขา  ประมาณห้าปีเศษ  ก็หามีท่านผู้ใดสนใจ  ในความสามารถของผู้ปฏิบัติตรงต่อพระธรรมวินัยไม่  บางคนกลับหาว่า  ผู้ปฏิบัตินั่งหลับหูหลับตา  จะมีความสามารถมองเห็นสิ่งภายนอกภายในได้อย่างไร  บางท่านเรียนแทบตายจนได้นักธรรมโท  ได้เปรียญตั้งหลายประโยคยังมองอะไรไม่เห็น  ก็เพราะท่านหวังเก้าอี้หวังเงินเดือน  จึงต้องติดอยู่ข้องอยู่  ท่านเป็นแต่นักธรรมเรียนปริยัติ  ไม่รู้การปฏิบัติ  ศีล-สมาธิ-ปัญญา  สิ่งซึ่งควรรู้  คือรู้เท่าทันสังขารของตนนั้น  หารู้ไม่

                นี่แหละ  ท่านทั้งหลายอาตมา  มิได้ส่อเสียด  และยกตนข่มท่านผู้ใด  ที่นำมากล่าวนี้  ก็เพื่อท่านผู้ปฏิบัติตรงต่อพระธรรมวินัย  จะได้ไม่หวั่นไหว  เพราะอาตมา  ถูกเขากล่าวหามาแล้วเช่นนั้น  และก็พยายามปฏิบัติธรรมมาด้วยดีจนมีสมาธิปัญญาแก่กล้า  สามารถช่วยเหลือแก้ไข และชี้บอกบางสิ่งบางอย่างสงเคราะห์ปวงชนได้  เมื่อนำศพขึ้นมาจากน้ำคราวนี้ประชาชนทั้งหลายก็เกิดอัศจรรย์เห็นจริง  จึงสนใจกันเป็นส่วนมาก  ชายบางคนสนใจอยากจะรู้อยากจะเห็น  ต้องการจะเล่าเรียน  เพื่อตรวจหามองเห็นทั้งในน้ำและใต้ดิน  เพื่อประโยชน์  เพื่อความสุขของตนและผู้อื่น  ต่างก็พากันมาจะขอมอบตัวเข้าเป็นศิษย์  

 

               อาตมาจึงกล่าวขึ้นให้ท่านทั้งหลายฟังว่า การเรียนศึกษากับอาตมานั้น  ไม่ใช่เป็นคาถาอาคม หากแต่เป็นสมาธิกรรมฐานในพระธรรมวินัย  ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ให้ผู้ปฏิบัติตาม  ทำตามจนรู้แจ้งเห็นจริง เกิดขึ้นในตน  ของผู้ปฏิบัติเองเท่านั้น  หากท่านไม่ปฏิบัติตามพระพุทธบัญญัติ  ให้บริสุทธิ์ทั้งกาย-วาจา-ใจ  จนหมดแท้จริงแล้วย่อมทำได้ยาก  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลกนี้  ให้ดีให้วิเศษจะยิ่งใหญ่เกินไปกว่าพระธรรมวินัยย่อมไม่มี  ดูก่อนท่านทั้งหลาย  ฉันจะพูดให้ฟังโดยคำจริง  ฉันนี้ได้พยายามปฏิบัติ  ตรงตามพระธรรมพระวินัย  โดยใช้สมาธิกรรมฐานห้ารักษาศีลแปดประการ  ละโดยสมุจเฉทปหาน (ถ้าไม่ละโดยสมุจเฉทแล้วกิเลสมันไม่ตาย) มิได้กลับกลอกถอยหลังอย่างคนธรรมดาทั้งหลาย  มีแต่จะปฏิบัติเพิ่มสิกขาบทมิได้ลดละ  มุ่งหน้าออกจากภพทั้งสาม  ไม่หวังกลับมาเกิดอีก  ขณะนี้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติล่วงมาครบรอบหกปีกว่าแล้ว  ความสว่างไสวแจ่มแจ้ง  แห่งพระธรรมพระวินัย  ได้มาบังเกิดกับข้าพเจ้าแล้ว  ข้าพเจ้าจึงได้สามารถมองเห็น  วัตถุสิ่งของ  อันอยู่เหนือวิสัยสายตาของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย  มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย  มองบางสิ่ง  บางอย่างไม่ได้ด้วยตาเนื้อ  แต่ทุกรูปทุกนามของแต่ละคนย่อมมีตาในด้วยกันทั้งนั้น  แต่ท่านที่มองอะไรไม่สว่างไม่เห็นเหมือนเช่นอาตมานั้น  เพราะจิตของท่านไม่มีสมาธิ  มีนิวรณ์ (คือสมมุติ) นั้นเองกั้นไว้  หรือปิดตาปิดใจของท่านไว้  ขอให้ท่านดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของพระพุทธองค์  คือ  ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยแท้ตามลำดับเถิด  สิ่งซึ่งอยู่เหนือวิสัยและเร้นลับสุดยอดอันนั้น  จะปรากฏอาการออกมาเองเพราะพระธรรมพระวินัยคือศีลนี้แหละ  เป็นศาสตราวุธสำหรับราวีต่อสู้กับอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา  สมาธิ  ปัญญา  คือแสงสว่าง  ใคร่ครวญพิจารณาอย่าให้ขาด  ก็จะสามารถมองเห็นศัตรูหมู่มารทั้งหลาย  จงเลือกใช้อาวุธปัดป้องทิ่มแทงให้ถูกต้องตามกาลเวลา  ก็จะมีชัยชนะในที่สุดไม่ต้องสงสัยแต่อย่างใดในธรรมของพระศาสดา  

 

               ในโอกาสต่อมามีผู้หญิงพวกหนึ่ง  มากล่าวถามอาตมาขึ้นว่า   “ท่านอาจารย์  ท่านไม่อยากได้เงินได้ทอง  ไม่อยากได้สมบัติ  สิ่งของต่างๆ หรือ” พวกนี้  เขามาถามเรื่องหยุมหยิม  เกี่ยวกับกิเลสกาม  วัตถุกาม  กล่าวคำสรรเสริญเยินยอต่างๆ นานา  อาตมาจึงได้ตอบให้ฟังว่า  “อาตมาไม่ยินดียินร้ายในสิ่งทั้งหลายที่ท่านพูดถึงกัน  เพราะอาตมาไม่ใช่เป็นชายโสดมาแต่กาลก่อน  ทั้งไม่ได้เป็นผู้จัณฑาลเสียอีกด้วย  อาตมาเป็นผู้ที่รักสัจจะ  รักศีล  รักธรรม  อย่างแท้จริง  จึงได้ตั้งหน้าปฏิบัติมาเช่นนี้  อาตมาต้องการออกจากทุกข์ทั้งหลาย ทุกข์นั้นคือกิเลสกาม  วัตถุกาม นั้นเอง  เรื่องอะไรจะวกกลับถอยหลังเข้าไปหามันอีก  สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเครื่องรึงรัดผูกมัดตนไว้  ทำให้ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในข่ายและวงล้อมของตัณหา  สิ่งเหล่าใด  ที่ท่านทั้งหลายเห็นว่าเป็นความชอบ  ความสุข  ความเพลิดเพลินเจริญใจ  สิ่งเหล่านั้นคือความอยาก  อันไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ  เหมือนแม่น้ำลำคลองอันไม่รู้จักเต็มด้วยกระแสน้ำ  ย่อมทับถมตนเองไว้เป็นทวีคูณ  ทนทุกข์ทรมานมามากแล้วแต่หนหลัง  ต้องแหวกว่ายจำเจอยู่ในทะเลทุกข์  เร่าร้อนหิวกระหายอยู่เป็นนิจ  อิ่มเอิบไปด้วยโลกีย์สุข  เป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง  ไม่ขวนขวายหาทางหลุดพ้นเสียบ้าง  จะรู้สึกเสียใจในภายหลัง  ต่อเมื่อความตายได้มาถึง  มันแก้กันไม่ทันเสียแล้ว

 

               ท่านทั้งหลาย  ผู้ท่านนั้นรักวัตถุกาม  แก้วแหวน  เงินทอง  ยิ่งกว่าชีวิตของท่านใช่ไหม  อาตมาเองก็เหมือนกัน  รักศีลรักธรรมยิ่งกว่าชีวิต  หากสังขารฉันเองจะแตกจะดับลงไปก็ไม่ว่า  ไม่เสียดาย  ขอแต่ให้อาตมานี้เป็นผู้รวยธรรมก็แล้วกัน  อาตมาจะได้นำศีลนำธรรมทั้งหลายข้ามสู่นิพพานสู่พุทธเกษมไปได้  เพื่อไม่ต้องมาเกิด  มาตาย  ทนทุกข์เวทนาอีกต่อไป

 

               ดูก่อนท่านหญิงทั้งหลาย  เรื่องกามซึ่งกล่าวมาแล้ว  อย่านำมาพูดกับอาตมาอีกเลย  แม้ให้เงินทองอาตมาวันละล้านบาท  แล้วให้ผู้หญิงมาบำเรออีกหนึ่งพัน  เพื่อต้องการให้อาตมาละจากศีลจากธรรมแล้ว  เป็นไม่ยอมเด็ดขาด  เงินหนึ่งล้าน  กับหญิงหนึ่งพันที่ว่านั้น  จะนำมาแลกกับศีลของอาตมา  แม้แต่เพียงสิกขาบทเดียวก็ไม่ได้  อย่าให้อาตมาละศีลละธรรมเลย  เลิกพูดกันเสียเฉยๆ ดีกว่า”  (เรื่องนี้ ท่านอาจารย์เคยพูดให้ฟังว่า  เดิมทีท่านอาจารย์เอง  ท่านก็มีความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  เช่นเดียวกันกับสามัญชนทั้งหลาย  ต่างกันแต่ท่านอาจารย์ท่านโลภศีล-โลภธรรม  โกรธเจ้าตัณหาราคะ  หลงตามพระธรรมพระวินัย  คือหลงตามพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น  จึงได้มาบวชในพระพุทธศาสนา  ปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัย  ให้สุดยอด  สุดยอดของบุญกุศล  และอกุศลทั้งหลาย  คือหมดบุญหมดบาป  หรือเรียกว่าอยู่เหนือบาปนั่นเอง  ถ้าหากท่านไม่มีความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  คงไม่ได้มาบวชในศาสนานี้ - ผู้เรียบเรียง)

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:20:16

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom