-
ทางปฏิบัติมรรคผลนิพพาน
|
|
-
ทางปฏิบัติมรรคผลนิพพาน
เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปด
ดังนี้คือ
|
|
-
1.
สัมมาทิฐิ
ความเห็นชอบคือเห็นทางมรรคผลนิพพานนั้นเอง
|
|
-
2. ความดำริชอบคือ
ความคิดเห็นในทางสามัคคีธรรมนั้นเอง
|
|
-
3. การพูดจาชอบคือ
การพูดบอกทางที่นำความสุขมาให้นั้นเอง
|
|
-
4. การทำการงานชอบคือ
การทำการงานเพื่อตนและผู้อื่นให้ถึงขั้นบรรลุไปด้วยดี
|
|
-
5. การเลี้ยงชีวิตชอบคือ
เลี้ยงชีวิตตนโดยชอบธรรม
ตามเกิดตามมีนั้นเอง
|
|
-
6.
ความพากเพียรชอบคือ
เพียรละจากสิ่งเร่าร้อน
ให้ประกอบสิ่งที่ดีนั้นเอง
|
|
-
7.
ความระลึกชอบคือ
ระลึกถึงคุณความดีที่ท่านยกให้แก่เราแล้ว
สมควรระลึกอยู่เสมอ
ๆ
นั้นเอง
|
|
-
8. สัมมาสมาธิคือ
ความตั้งใจมั่นชอบคือ
ความตั้งใจมั่นในทางปราศจากกองทุกข์ทั้งปวงนั้นเอง
|
|
-
มรรคผลนิพพาน
มรรคแปลว่า
ทางกระทำความดีสามัคคีธรรม
|
|
-
ผลแปลว่า.........
ความสงบ
|
|
-
นิพพานแปลว่า
ความสุขนั้นเอง
|
|
-
ต่อนี้เป็นทางปฏิบัติไปตามทางศีล-สมาธิ-ปัญญาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ได้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองเป็นทางมรรค-ผล-นิพพาน
ไว้ให้หมู่เราท่านชาย-หญิงทุก
ๆ คน
เดินตามแล้วไปถึงพระนิพพานได้ด้วยกันทุก
ๆ ตัวคน
ไม่ว่าท่านชายและท่านหญิงไม่เลือกชั้นวรรณะ
ไม่เลือกกาลเลือกเวลา
ยืน-เดิน-นั่ง-นอน
ได้ทั้งนั้น
ไม่เลือกชาติไม่เลือกภาษา
ขอแต่ว่าเป็นมนุษย์โสสิ
จะเป็นหญิงหรือชายก็ตามแต่สามารถทำจิตใจตน
ให้เข้าสู่มรรค-ผล-นิพพานได้ด้วยกันทั้งนั้น
แต่ให้รู้ทางมรรค-ผล-นิพพานนั้นคืออะไร
ทางสายไหนต่อสายไหน
ทางเวียนว่ายเกิดตาย
เป็นโอปาติกะอยู่ในกามภพโลกนี้ก็มี
ก็เพราะติดนั้นเอง
ทางจะไปนรกอเวจีก็มี
ได้แก่ผู้กระทำบาปหยาบช้า
ผู้เขาจะเดินกันไปนั้นเอง
ทางจะไปสวรรค์ก็มีได้แก่ผู้ทำทานรักษาศีลภาวนา
หมู่ท่านชาย-หญิงเหล่านี้
ก็จะพากันเดินเข้าไปสวรรค์วิมานต่อ
ๆ ไปนั้นเอง
เพราะว่าสัตว์มนุษย์ชาย-หญิงทุก
ๆ วันนี้ตกหลุมพรางของทุกขสัจจ์กันจนจะหมดอยู่แล้ว
จะหาทางสิ้นสุดลงมิได้เลย
รวยก็ไม่มีที่สุด
จนก็ไม่มีที่สิ้นสุดลงไปได้แต่อย่างใด
แม้แต่สังขารตายแตกดับไปแล้วก็ตาม
ก็ยังไม่สิ้นสุดจิตใจที่เป็นองค์ไม่ตายนั้น
ก็จะติดจน-ติดรวยอยู่นั้นเอง
ฯ
|
|
-
ทางพิจารณาปฏิบัติในทางศีล-สมาธิ-ปัญญาทางพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าของหมู่เราชาวพุทธ
เมื่อจะทำสมาธิคือถือใจมั่น
ให้มีจิตใจยินดีในทาน-ศีล-ภาวนา
ให้พิจารณาอยู่ทุกอิริยาบถสี่ยืน-เดิน-นั่ง-นอน
ด้วยอานาปานุสสติ
ด้วยความว่างวางเฉย
ต่อสัญญาที่นึกคิดไปข้างหน้าและข้างหลัง
ที่ตาเห็นหูได้ยินให้ปล่อยวางเสีย
อย่ากำหนดยึดเอาตรงนั้นตรงนี้
ให้มันเกิดเป็นสัญญาอุปทานสีแสงต่าง
ๆ ด้วยตาวิปริต
จะเลยกายเป็นอุปทานด้วยสีแสงที่เราหลับตาหรือเพ่งตา
อย่าทำต่อไปประเดี๋ยวจริตจะเสีย
มิใช่เป็นทางศีล-สมาธิ-ปัญญาแต่อย่างใด
เราอย่าไปติดยืนเราอย่าไปติดเดิน
เราอย่าไปติดนั่งเราอย่าไปติดนอน
ให้พิจารณาในทุกอิริยาบถ
พิจารณาในศีล-ในสมาธิ-ในปัญญา
ทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง
มรรคผลนิพพานนี้
เป็นมรรคผลของศีล-สมาธิ-ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่วางศาสนาไว้
คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา
สามประการนี้เป็นหลักของศาสนา
เป็นทางมรรคผลนิพพาน
มรรคแปลเป็นภาษาไทย
ๆ เราก็คือ
ทางกระทำความดีสามัคคีธรรม
ทำให้มันเกิด
มันมีขึ้นอยู่ในจิตใจของเรา
ให้รู้แจ้งว่าความดีสามัคคีธรรมนี้
มีเหตุมีผลอย่างยอดเยี่ยม
สิ่งอื่น ๆ
จะยิ่งกว่าย่อมไม่มี
นี้เป็นทางของศีล
ผลแปลเป็นภาษาไทย
ๆ เราว่า
ความสงบ
พิจารณาด้วยความถือใจมั่นในความสงบให้มันเกิด
ให้มันมีขึ้นในจิตใจของเรา
ให้รู้เหตุรู้ผลว่า
สิ่งอันใดจะยิ่งกว่าความสงบย่อมไม่มี
นี้เป็นผลของสมาธิคือ
ความถือใจมั่นนั้นเอง
นิพพานแปลเป็นภาษาไทย
ๆ เราว่า
ความสุข
คือความสุขที่จิตใจเราอยู่ในศีล-สมาธิ-ปัญญานั้นเอง
นิพพานคือความสุขอย่างยิ่ง
สุขอื่นใดจะสุขยิ่งกว่าสุขพระนิพพานย่อมไม่มี
อันนี้เป็นผลของปัญญาพระพุทธเจ้าเรียกว่านิพพาน
ภาษาไทยเราเรียกว่าความสุข
แต่ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้ทำจิตใจของตน
ให้ถึงความสุขเป็นท้ายที่สุด
ถ้าสุดแล้วก็ถึงสุข
ถ้าถึงสุขแล้วก็เป็นสิ่งไม่มี
จิตใจเข้าถึงสิ่งไม่มีได้แล้ว
ก็เป็นความแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงเรียกว่านิพพานคือ
ความสุขอย่างยิ่งที่ปราศจากอามิสทั้งปวง
คือนิพพานแล้วไม่กลับแต่อย่างใด
ก็คือสุขแล้วไม่กลับแต่อย่างใด
เรียกว่า สุด
เป็นสิ่งไม่มีคือนิพพานคือ
สุข
นั้นเอง
|
|