โลกุตรธรรม

 

               ผู้ซึ่งจะนำตนดำเนินไปสู่โลกุตรธรรมนั้น  จะต้องเป็นผู้สันโดษมักน้อย  ไม่เกรงกลัว  หวั่นไหวต่อโลกธรรมแปดประการซึ่งครอบงำตนอยู่  โลกุตรธรรมนี้คือศีลเป็นหลัก  สมาธิเป็นเหตุ  ปัญญาเป็นผล  นั้นเอง  อาตมาภาพจะขอกล่าวถึง  การปฏิบัติธรรมทางโลกุตรธรรมไว้แต่พอเป็นแนวทางย่อ ๆ  เพราะอาตมาไม่เคยเรียนปริยัติมาก่อน  มีแต่มุ่งหน้าปฏิบัติตามพระธรรมวินัย  ซึ่งพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้  เป็นแนวทางให้สาวกปฏิบัติให้ถูกทางเท่านั้น

 

               ศีล-สมาธิ-ปัญญา  ทั้งสามอย่างทิ้งกันไม่ได้เพราะอะไร  ก็เพราะว่า  ศีลเป็นที่ยึดมั่นถือมั่น  ในทางละทางเว้น  ในทางที่ทำให้สิ้นไป  ปราศจากไป  พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติไว้

 

               สมาธิ  เป็นสิ่งที่ทำให้กายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม  ที่มีอยู่ให้สิ้นไปสงบไป  เป็นการระมัดระวังป้องกัน  มิให้กรรมดังกล่าวแล้วเกิดขึ้นอีก  ให้มีสมาธิ  มีสติตั้งมั่น  เว้นจากกามกิเลสความรักความใคร่ยินดีทั้งหลายให้ขาดสิ้นไป  จากสันดานของตนโดยสิ้นเชิง

 

               ปัญญา  เป็นหน้าที่ที่จะต้องพิจารณาใคร่ครวญ  ไม่ล่วงเกินพระวินัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้าม  คือสิ่งที่เป็นกิเลสกาม  และวัตถุกามทั้งหลาย  มิให้ติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้นโดยเด็ดขาด  ให้รู้สังขารที่เวียนว่ายเกิดตายอยู่ในภพทั้งสาม  จะได้ไม่ติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น

 

               ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย  จะต้องมีหน้าที่ดังต่อไปนี้  ซึ่งล้วนแต่เป็นการปฏิบัติทางโลกุตรธรรมอย่างแท้จริง  อาตมาได้ปฏิบัติตามมารู้หนทางที่แท้จริง  ก็เพราะศีล-สมาธิ-ปัญญานี้เอง  อาตมาเคยปฏิบัติมาหกปีเศษตามประวัติข้างต้น  ก็ยังไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริง  ไม่เป็นสิ่งที่จะออกจากกามทั้งหลายได้เลย  อาตมาจึงได้มาหาทางหันมาปฏิบัติตามศีลทั้งสิบสิกขาบท  จึงได้พ้นออกจากกามทั้งหลายได้   จะรู้ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค  รู้แจ้งเห็นจริงในตัณหาทั้งปวง  ก็เพราะศีล-สมาธิ-ปัญญา  อาตมาได้พิจารณาละเว้นตามศีลสิกขาบทมีต่อไปนี้

 

               1.  ปาณาติปาตา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  เว้นจากการฆ่าสัตว์สิ่งที่มีชีวิตให้ตายด้วยตนเอง  หรือใช้ผู้อื่นให้ฆ่า  ไม่เบียดเบียนทำร้ายเว้นทั้งทางกาย-วาจา-ใจ  โดยสิ้นเชิง

 

               2.   อทินนาทานา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  เว้นจากการขโมยยักยอก  ฉ้อโกงสิ่งของของเขาด้วยตนเอง  หรือใช้ให้ผู้อื่นทำ  ไม่โลภอยากได้ของเขา  เว้นหมดทั้งกาย-วาจา-ใจ  ให้หมดสิ้นไป

               3. อะพรัหมะจะริยา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  ห้ามไม่ให้ประพฤติอัสธรรม  ในสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์  ให้ละเว้นจากการเสพเมถุนทั้งหลาย   จงเว้นทั้งกาย-วาจา-ใจ  ละให้ได้โดยสิ้นเชิงเด็ดขาด

 

               4.  มุสาวาทา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  เว้นจาการพูดจาล่อลวงท่านผู้อื่น  หรือใช้ให้ผู้อื่นกล่าวคำเท็จ  เว้นหมดทั้งกาย  วาจาและทางใจ  โดยสิ้นเชิง

 

               5.  สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  เว้นจากการดื่มสุราเมรัย  ซึ่งเป็นเครื่องดองของเมา  ย้อมใจให้คลั่งไคล้หลงใหลต่าง ๆ  ให้ละโดยทางกาย-วาจา-ใจ  ให้สิ้นเชิง

 

               6. วิกาละโภชะนา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  เว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล  ตั้งแต่พระอาทิตย์เลยเที่ยงไปแล้ว  ตลอดถึงรุ่งอรุณวันใหม่  ให้ละเว้นทางกาย-วาจา-ใจ  โดยสิ้นเชิง

 

               7.  นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  เว้นจากการดู  ฟัง  เต้นรำ  ขับร้อง  ประโคมดนตรีต่าง ๆ  ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อกุศลคือความสงบทั้งหลาย  ให้ละเว้นทั้งทางกาย-วาจา-ใจ โดยสิ้นเชิงให้สิ้นไป

 

               8.  มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฎฐานา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  เว้นจากการทัดดอกไม้ของหอม  เครื่องย้อมเสริมทรงผัดผิวต่างๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งซึ่งเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์  ให้เว้นเสียทั้งทางกาย-วาจา-ใจ  โดยเด็ดขาด

 

               9. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง  มีเท้าสูงเกินกว่าประมาณ  หรือเป็นที่นั่งที่นอนอันใหญ่หนา  มีภายในยัดด้วยนุ่นหรือสำลี  ล้วนแต่เป็นของที่งดงามอันวิจิตรตระการตา มีค่าเป็นเงินทอง  ซึ่งสิ่งเหล่านี้  ล้วนแต่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์  ให้งดเว้นเสียให้หมดทั้งทางกาย-วาจา-ใจ

 

               10. ชาตะรูปะระชะตะปะฎิคคะหะณา  เวระมะณี  สิกขาปะทัง  สะมาทิยามิ  เว้นจากการจับต้องทองเงินต่างๆ  ที่ใช้ซื้อขายกันภายในประเทศเหล่านั้น  หรือวัตถุสิ่งของอื่นใดที่ใช้แทนเงินหรือทอง  ห้ามมิให้พระภิกษุสามเณรทำการจับต้องซื้อขาย  มิให้ยินดีในเงินและทองให้งดเว้นโดยทางกาย  วาจา  และใจให้หมดไปสิ้นไป  ปราศจากไปเสียโดยสิ้นเชิง

               นี้แหละผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  ผู้ที่สนใจกระทำความเพียร  ในทางสมาธิกรรมฐาน  อย่าได้มีความลังเลสนเท่ห์ใจ  ไปในทางที่ผิดอื่นใดเลย  นอกจากพระธรรมพระวินัยแล้ว  ย่อมมิสามารถจะทำให้เกิดเป็นมรรคผล  ในทางบั่นทอนเพิกถอนจากกิเลสราคะได้เลย  เพราะเหตุว่าอาตมา  เคยเป็นผู้พยายามค้นคว้าหาช่องทาง  หนีออกจากกิเลสเหล่านี้มาหลายปี  ก็ไม่ได้พบหนทางที่จะตัดวัฏฏะได้เลย  อาตมาจึงได้มาค้นคว้าตามศีลสิกขาบททั้งสิบประการ  ดังกล่าวมา  จึงได้รู้แจ้งเห็นจริง  เพราะพิจารณาตามหลักดังนี้คือ       

 

               1.  พิจารณาตามศีลทั้ง 10 สิกขาบท  ที่มาในพระปาฏิโมกข์

 

               2.  สมาธิ  เป็นศีลอย่างกลาง  สามารถนำความสว่างเข้าไปได้ชั้นหนึ่ง

 

               3.  กรรมฐาน  คือศีลอย่างละเอียด  สามารถนำความสว่าง  เข้าไปได้ถึงชั้นที่สอง  ผู้ปฏิบัติจะเห็น  ได้เพียงกลางๆ

 

               4.  ปัญญา เป็นศีลที่ประณีต สามารถทำลายความยึดถือในสังขารตัวตนลงไปได้อย่างสิ้นเชิง มิ ให้ติดอยู่ในกองสังขาร และวัตถุต่าง ๆ ที่มีอยู่ในภพทั้งสามนี้ สามารถนำความสว่าง เข้าไปสู่พรหมจรรย์ได้อย่างเด็ดขาด มองเห็นแดนพุทธภาวะ หรือทางพระนิพพานได้อย่างชัดเจน

 

               ต่อจากนี้  อาตมาจะขอกล่าวถึงสายเอก  คือจิตของผู้ปฏิบัติที่เดินตามแนวเอกัคตา  ให้ท่านทราบไว้เพียงย่อ ๆ  เพื่อเป็นแนวทางสืบต่อไป

 

               จิตที่เป็นเอกัคตานั้น  คือจิตของผู้ปฏิบัติผู้เดินสายเดียวนั้นเอง  จิตเอกัคตานี้  จะบังเกิดขึ้นได้เฉพาะผู้ซึ่งมีสัจจะธรรม  มีศีลโดยสมุจเฉทวิรัติ (ละโดยสมุจเฉทปหาน) คือผู้ซึ่งมีศีลบริสุทธิ์ (อินทรีย์สังวร) สมาธิก็เกิดขึ้นเป็นอย่างดี  นอกจากนี้ผู้ปฏิบัติอื่นใดที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยศีล  จะทำจิตให้เป็นเอกัคตาย่อมไม่ได้ยั่งยืนตลอดไป  เพราะมีวิจิกิจฉาลังเลสงสัย  ยืดถืออยู่ในโลกบ้าง  ธรรมบ้าง  บุญบ้าง  บาปบ้าง  ฉะนั้นจิตชนิดนี้จึงเรียกว่าโลกียจิต  เป็นจิตที่ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในภพทั้งสาม  เพราะยังหมกมุ่นอยู่ในกามราคะ  กามกิเลสทั้งหลายนี้มันเป็นของชาวบ้านผู้ครองเรือน  มันเป็นจิตของผู้ซึ่งยังมีความกำหนัดรักใคร่อยู่  เป็นจิตของผู้มากเมาเพ้อคลั่งไคล้หลงใหลอยู่       

 

               ขอให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงเดินตามจิตเอกัคตา  ตามศีล-สมาธิ-ปัญญายึดพระนิพพานเป็นอารมณ์หนึ่งไม่มีสอง  นี้แหละท่านเรียกว่าจิตเอกกัคตา  จะรู้ได้ก็จำเพาะผู้ปฏิบัติโดยตรง  ผู้ซึ่งเดินตามพระธรรมวินัยไม่เอนเอียงเท่านั้น  ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงมุ่งหน้ากันเถิด  สังขารไม่คอยเราหรอกแก่เฒ่าลงไปทุกวัน  เมื่อท่านออกจากกามได้แล้วนั้นแหละ  ท่านจะรู้แจ้งเห็นจริงในทุกข์ทั้ง 4 ได้อย่างชัดเจน  ทุกข์ทั้ง 4 นั้นคือความเกิดเป็นทุกข์   ความแก่เป็นทุกข์  ความเจ็บไข้เป็นทุกข์  ความตายเป็นทุกข์  ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงตรองดู  อย่าหลง  ขี้ผงจะเข้าตา   หนทางพระศาสดาคือโลกุตรธรรมนั่นเอง  รวมความว่าสมณะ-ชี-พราหมณ์  ผู้ที่จะเดินตามทางโลกุตรธรรมนั้น  

               1.  จะต้องเป็นผู้มีสัจจะ

 

               2.  มีศีลบริสุทธิ์

 

               3.  ต้องอธิฐานตนเองเป็นภิกษุหรือสามเณรโดยแท้

 

               4.  ต้องเป็นผู้มักน้อย  ฉันอาหารวันละหนึ่งมื้อตลอดไป  และให้พิจารณาตนเอง  ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ เจริญกรรมฐานห้าอยู่ทุกอิริยาบถทั้ง 4 คือ  ยืน-เดิน-นั่ง-นอน  จนเกิดมีปัญญารู้เท่าสังขารของตน  ไม่ติดอยู่แต่อย่างใด  เพื่อจะได้ละอาสวะกิเลสในตนของตนให้หมดไป  

 

               ผู้ปฏิบัติทั้งหลายที่จะมุ่งหน้าไปสู่พระนิพพานคือเมืองแก้ว  ตามที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้ตรัสรู้มาแล้วทั้ง 4 พระองค์ในพุทธกัปนี้  ยังมีผู้ปฏิบัติทั้งชายและหญิงนับเป็นล้านเป็นแสน  ที่ปฏิบัตินำหน้าพวกเราชาวพุทธไป  อย่าลังเลว่าจะไม่มีพวกมีเพื่อนไปสู่เมืองพระนิพพาน  ไม่ควรสงสัยลังเลติดอยู่ในภพทั้งสามนี้เลย  ทางโลกุตรธรรมนี้  คือทางพระนิพพานโดยตรง  ผู้ไปทางนี้ต้องทำลายทิฐิทั้งสาม  ต้องละมรดกของตัณหาพญามารให้หมดให้สิ้นไปเสียก่อน  เพราะมันเป็นข้าศึกพรหมจรรย์  ทำลายให้หมดสิ้นด้วยสมาธิ  โดยผู้ปฏิบัติต้องยึดสิกขาบททั้ง 5 ไว้เพื่อพิจารณาเมื่อรู้แล้ว-เห็นแล้ว  จะได้ทำการปล่อยวางเสีย  ไม่ติดอยู่ในทิฐิดังต่อไปนี้

 

1. สักกายะทิฐิ

 

2. วิจิกิจฉา

 

3. สีลัพพตปรามาส 

               ทั้งสามข้อนี้ต้นเหตุใหญ่  รวมอยู่ที่สักกายะทิฐิ (สักกายะทิฐิ  หมายถึง  การหลงเอาความรู้สึกว่าเป็นตัวตน  ผูกพันไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขันธ์ห้า) อยู่วงเดียวกันทั้งสิ้น  จงพิจารณาในตนของตนให้รู้แจ้งเห็นจริง  ว่าอะไรเป็นอะไร  ให้ดูที่ตนของตนจนไม่มีที่สงสัยลังเล

 

               สักกายะทิฐิ  นี้แปลว่าความเห็นผิดและยึดมั่นอยู่  ถือตัวถือตนว่าเป็นแก่นสาร  ยึดรูปยึดนาม  หลงผิดอยู่ในสันดาน  อันเป็นความเห็นผิด  ผูกใจไว้ให้ไหลไปสู่อบายภูมิ

 

               วิจิกิจฉา  แปลว่าความสงสัยลังเล  เช่นไม่เชื่อว่า  พระรัตนตรัยเป็นเครื่องดับทุกข์ได้จริง  เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง  จึงติดอยู่ในภพ  ไม่สามารถจะพ้นทุกข์ได้

 

               สีลัพพตปรามาส  แปลว่าถือไม่จริง  ปฏิบัติไม่จริง  รักษาศีลไม่จริง  หยิบ ๆ  วาง ๆ  ขาดบ้างต่อบ้าง  ไม่เอื้อเฟื้อต่อศีลสิกขาบท  ไม่ถือศีลโดยสมุจเฉทปหาน (ศีลไม่บริสุทธิ์  กิเลสมันไม่ตาย)  เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง  ทั้งวิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาส  ทั้ง 2 ข้อนี้เหตุเนื่องมาจากผู้นั้นยังติดอยู่ในสักกายะ  ยึดมั่นถือมั่นอยู่  ผู้ที่ละสักกายะทิฐิได้โดยสมบูรณ์แล้ว  จะไม่มีการหวั่นไหวอีกต่อไป  คงยึดเอาศีล-สมาธิ-ปัญญา  มาเป็นที่พึ่งที่อาศัย  มีสัมมาทิฐิสมบูรณ์หมดจดดีแล้ว  เป็นการทำลายสักกายะทิฐิ  วิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส  ให้หมดสิ้นไม่มีเหลืออยู่ในตนของผู้ปฏิบัติอีกสืบไป  ผู้นั้นจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง  สามารถมองเห็นสภาพพระธรรมพระวินัยได้ลาง ๆ  แต่ยังไม่สว่างชัด

 

               กามทิฐินั้นมีอยู่หลายประการ  กามทิฐิและพยาบาททำให้เกิดภพทั้งสาม  ผู้ปฏิบัติจะพิจารณาตรวจดู  เพื่อละสิ่งเหล่านี้  ต้องยึดต้องอาศัยศีลสิกขาบทในข้อ 8 (9 สิกขาบท) ไว้เป็นหลัก  ทิฐินี้เองที่อิงที่อาศัยอยู่ในจิตทั้งชายหญิง  ให้ติดให้หลงอยู่ในความรักความใคร่  ความกำหนัดยินดีต้องเสพเมถุนธรรม  อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเพลิดเพลินอาลัยใยดีทั้งหลาย  กามทิฐินี้เองทำให้เกิดความหึงหวงยึดถือว่าเป็นของตน  ทำให้เกิดความพยาบาทจองเวร  ปรารถนาต่าง ๆ  กันไปในภพทั้งสาม  หลงวนอยู่เรื่อยไปไม่สามารถจะตัดอาลัยลงได้ 

 

               ทิฐิความเห็นผิดเหล่านี้ยังอยู่อีกคือ  วัตถุกามทิฐิ  ทำให้เกิดลังเลสงสัย  ในโลกธรรมแปดประการ  เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง  ทำให้เกิดโลภะ-โทสะ-โมหะ  ผู้ปฏิบัติทั้งหลายให้ยึดศีลข้อที่ 10 (มีอยู่ 30 สิกขาบท) เป็นแนวทางเพื่อพิจารณา  จะได้รู้ได้เห็นทุกข์โทษของวัตถุกามทั้งหลาย  แล้วทำการปล่อยวางเสียได้ไม่ยึดถืออีกสืบไป  วัตถุกามที่เห็นผิดยึดมั่นถือมั่นอยู่ทั้งหลายเหล่านั้นคือ  แก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดา ฯลฯ   หลงนับถือกันว่า  เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิในโลก  สามารถบันดาลสิ่งต่าง ๆ  ให้กับตนเองได้  ล้วนทำให้เกิดความทะยานอยากต่างๆ นานา  ทำให้เกิดลังเลเข้าใจผิดทางพระพุทธศาสนา  เห็นทางพระนิพพานว่าไม่ใช่ทาง  หลงอยู่ในโลกธรรมแปดประการ  หลงอยากในภพ  หึงหวงในภพ  โลภ-โกรธ-หลง  จนเป็นทิฐิ

 

               นี่แหละผู้ปฏิบัติซึ่งความปล่อยวางทั้งหลาย  ทิฐิเหล่านี้มันทำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ  ผู้ใดยังติดอยู่ข้องอยู่  ในสิ่งเหล่านี้  หมายความว่าผู้นั้น  ยังเป็นทาสของตัณหาราคะ  ขอให้ผู้นั้นจงยกจิตขึ้นสู่สัจจะธรรม  ปฏิบัติตามศีลโดยสมุจเฉทวิรัติ  ยึดสติเข้าไปสู่ศีล-สมาธิ-ปัญญา  ยึดสัมปชัญญะเข้าไปสู่ศีล-สมาธิ-ปัญญา  ยึดปัญญาให้รู้เท่าสังขารและวัตถุในโลก  ไม่ให้ติดอยู่ในสิ่งเหล่านี้  ด้วยปัญญานั้นเอง  จึงทำการปฏิบัติเข้าสู่อสังขตธรรม  อมตะธรรมในที่สุด

 

               ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  ถ้าท่านปฏิบัติได้ดังกล่าวมานี้  รู้แล้วเห็นแล้วเป็นความจริง  ไม่มีจิตกลับกลอกนอกเหนือพระธรรมพระวินัย  มีกระแสจิตมุ่งหน้าไปสู่พระนิพพานธรรม  ออกจากนิพพานธรรม  มุ่งหน้าเข้าสู่อมตะธรรม  เข้าสู่นิพพานธาตุ  ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

               ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง  ยังไม่สว่างในพระธรรมพระวินัย  ก็ยังไม่ได้เป็นผู้รู้เท่าทันสังขารของตนและของผู้อื่น  สังขารของมนุษย์ทุกคนทุกรูปทุกนาม  มีแต่หนังหุ้มกระดูกผูกแขวนคอ  ดูไปดูมาเนื้อก็จะเปื่อยผุ  หนังก็จะหลุดเน่าไป  เหลือแต่กระดูกผูกแขวนคอ  หลุดหายกลายเป็นชิ้น ๆ  มีถมไปอยู่ในป่าช้า  ไม่มีใครนำติดตัวไปได้  เมื่อตายแล้ว  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  พระพุทธเจ้าได้สอนไว้เป็นทางพระนิพพาน  ผู้ปฏิบัติมองเห็นได้แล้ว  เหมือนพบแก้วสารพัดนึก

 

               ดูก่อนผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายหากท่านแยกสังขารได้แล้วยังไม่มีความสว่างแจ่มแจ้ง  ขอให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาดูสัญญาขันธ์  สังขารขันธ์  และวิญญาณขันธ์

 

               สัญญาณขันธ์  นั้นคือสิ่งจำได้หมายรู้ในสิ่งต่าง ๆ 

 

               สังขารขันธ์  นั้นรู้ได้ว่าเป็นของสั้น  ดำ  แดง  ยาว  รูปลักษณ์ต่าง ๆ 

 

               วิญญาณขันธ์  นั้นรู้ได้ว่าสิ่งดี-ชั่ว-หยาบ-กลาง  และละเอียดประณีต  เป็นสิ่งมีราคาหรือไม่มีราคาสำหรับประดับโลกเรานี้

 

               ขอให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  พิจารณาแยกเบญจขันธ์คือ  รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ   มาเป็นสติสัมปชัญญะ  ปัญญา  แยกสัญญาในสัญญา ในสัญญาขันธ์  มาเป็นสติ  ให้ละสัญญาอุปทานให้สิ้นไป  ยึดสติเป็นอารมณ์  สังขารขันธ์ยึดถือมั่นอยู่ในภพทั้งสามนี้ให้สิ้นไป  มีแต่สัมปชัญญะรู้ตัวอยู่

 

               ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  จงพิจารณาในวิญญาณขันธ์  วิญญาณในวิญญาณของในวิญญาณขันธ์นั้น  ให้เป็นปัญญา  ดับสิ่งในวิญญาณขันธ์  ที่จำได้หมายรู้อยู่ในภพทั้งสาม  ให้เหลือแต่ปัญญาซึ่งรู้เท่าสังขาร  สำหรับวัตถุในโลกนี้  ไม่ให้ติดอยู่  ตัดวัฏฏะสงสารมิให้เวียนว่ายตายเกิดอีกสืบไป  ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์

 

               อันนี้แหละผู้ทำเพียรทั้งหลาย  ถ้าท่านแยกปัญญาในปัญญามาเป็นสติได้แล้ว  จะมีความสว่างเกิดขึ้น  มองเห็นสภาพของพระอริยสงฆ์เสด็จมาประทับอยู่ตรงหน้า  ปรากฏแก่ผู้ปฏิบัติเสมอไป

               อนึ่ง  ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายแยกสังขารขันธ์  มาเป็นสัมปชัญญะได้แล้ว  ท่านจะมีความสว่างออกไปเป็นชั้นที่สอง  ผู้ปฏิบัตินั้นจะได้มองเห็นสภาพของพระธรรม  เสด็จมาประทับอยู่ตรงหน้า  คอยนำหน้าผู้ปฏิบัติอยู่เสมอ

 

               ดูก่อน  ท่านปฏิบัติธรรมทั้งหลาย  ถ้าท่านแยกวิญญาณขันธ์ในวิญญาณขันธ์  ดังกล่าวนั้น  มาเป็นปัญญาได้แล้ว  ผู้ปฏิบัติจะมีความสว่างแจ่มแจ้งเป็นชั้นที่สาม  ท่านจะมองเห็นสภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จมาปรากฏอยู่ตรงหน้า  จะติดตามนำหน้าผู้ปฏิบัติอยู่เสมอ  ผู้ปฏิบัติจะบังเกิดธรรมเข้าไปสู่จิตใจ  จะได้รู้ธรรมนอกบ้าง  ธรรมในบ้าง  ธรรมในธรรมบ้าง  เพราะสภาพของพระไตรสรณาคมน์  ที่ได้บังเกิดให้เห็นประจักษ์เหล่านั้น  จะทำให้ผู้ปฏิบัติรู้ภาษาพระธรรมได้  แล้วยังสามารถน้อมพระธรรมเข้าสู่สติ  สัมปชัญญะ  ปัญญา  แล้วจะเทศนาธรรมได้เป็นอย่างดี  โดยไม่ต้องกล่าวปริยัตินำหน้า  เทศนาธรรมขั้นปรมัตถ์ได้ทุกประการ  ผู้สนใจจะสอบถามอาตมาได้เสมอ.

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:27:49

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom