อามิสบูชาคืออะไร

 

                ต่อไปนี้เป็นหลักศรัทธา  ในทางอามิสบูชากราบไหว้เคารพ  อันเป็นสื่อให้ทำความดี  ในทางมนุษย์สมบัติ  สวรรค์สมบัติ  นิพพานสมบัติ   เป็นสมบัติโดยชุ่มชื่นให้จิตใจผ่องใสโดยหมดจด  เป็นศรัทธาบารมีเป็นสายทางนำจิตใจเข้าไปสู่การปฏิบัติบูชาต่อไป  เพราะมนุษย์และสัตว์ติดอยู่ในอามิสวัตถุเป็นส่วนมาก  ต้องมีจิตใจเสียสละอามิสบูชาให้เป็นทานเสียก่อน  ถึงจะข้ามโอฆะไปได้  เพราะความเสียสละนั้นเอง  เราถึงจะเอาชนะจิตใจเราได้  ต่อไปเราจะทำอะไรถึงเกิดผล  เพราะศรัทธาอามิสบูชานั่นเอง  แม้แต่ธาตุกายสังขารที่ท่านชาย-หญิงอาศัยอยู่นี้ก็เป็นอามิสนะท่าน  ถ้าไม่เอากายสังขารของท่านเป็นอามิส  บูชาต่อพระพุทธ  พระธรรม  พระอริยสงฆ์เสียก่อน  ท่านจะทำสมาธิปฏิบัติบูชาไปได้อย่างไร  การปฏิบัติบูชานั้น  ต้องพร้อมกายสังขารที่เป็นอามิส  ให้เป็นเครื่องอามิสบูชาด้วยไม่ใช่หรือ  จิตเราถึงจะไม่กลับกลอกเกิดดับ ๆ จะไม่มีแก่ท่านผู้ปฏิบัติเหล่านั้น  ให้พิจารณากันดูบ้างได้แต่พูดที่ได้ยินได้ฟังสืบ ๆ  กันมาก็พูดไปว่า  ปฏิบัติบูชาได้บุญมากกว่า  แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  ในทางการปฏิบัติเลยไปลม ๆ แล้ง ๆ   ไม่รู้ความพร้อมเพรียงกันบ้าง  ในโลกนี้อามิสบูชานี้  เพราะอามิสบูชานี้เป็นการปราศจาก  ละเว้น  ส่งคืน  ไม่อาลัยในสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด  เพราะเราถวายเป็นอามิสบูชาไปแล้ว  ก็เหลือแต่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของใจคือ  พระพุทธ  พระธรรม  พระอริยสงฆ์  นั้นเองฯ       

 

               ผู้ไม่รู้คือโลกบังธรรมอยู่นั่นเอง  ศีลธรรมพระพุทธเจ้าปฏิบัติไว้มิได้ปฏิเสธผู้กระทำผิดแต่อย่างใด  ผู้เลิกละจากการทำชั่วได้แล้ว  ศีลธรรมย่อมงอกงามแก่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นอยู่เสมอ ๆ  ไป  จิตใจของนักบวชชาย-หญิงที่ยังไม่ถึงศีลธรรม  ย่อมหวั่นไหวต่อโลกธรรมแปดประการ  อดทนอยู่มิได้เพราะคำพูดเขาว่านานาประการ  ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในปัจจุบันนี้ถูกเขาว่าดังนี้ "การบวช  เพื่อป้องกันการอดตายเท่านั้น" พระภิกษุรูปนั้นพอได้ยินก็โกรธ  เกิดความเห็นผิดต่อศีลและธรรม  เลยเกิดโทสจริตเห็นผิดในทางนักบวชไปทั้งหมด  เลยทนอยู่มิได้ต้องสึกออกไปเป็นขี้ข้าตัณหาจนเท่าวันตาย  ทำไมหนอเราไปเป็นขี้ข้าเขา  ทำไมทนอยู่ได้จนตาย  นี้แหละพระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์นักบวชทั้งหลาย  ท่านเรียกว่าโทสะจริตเกิดแก่จิตใจที่ได้ยินได้ฟังในโลกธรรมแปดนานาประการ  เรานักบวชต้องระวังใจเราไว้  อย่าหวั่นไหวต่อลมปากเหล่านี้เป็นอันขาดนะท่านนักบวชชาย-หญิง ฯ

 

              คนเราที่เกิดมาส่วนมากเห็นอะไร  ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งนั้นอยู่เสมอไป  ได้ยินเสียงก็ชอบเอาจิตใจไปจดจ่อในเสียงนั้น ๆ  เสมอไป  แต่ไม่รู้อะไรเป็นอะไรดังนี้  คนยุคนี้สมัยนี้ถึงไม่รู้แจ้งในศีลและธรรมได้ง่าย ๆ  เพราะไม่รู้ทุกข์ไม่รู้สุขนั่นเอง  ถ้ารักก็หลงรักอยู่นั่นเอง  ไม่รู้ความเกลียดจะมาถึง  ถ้าเกลียดก็เกลียดอยู่นั่นเอง  ไม่รู้ความเศร้าใจที่เกิดอยู่ในตน  คนยุคนี้สมัยนี้เป็นดังนี้ถึงไม่รู้แห่งธรรมไปได้  เพราะเหตุนี้ถึงไม่รู้คุณธรรมที่ปราศจากทุกข์ไปได้  ไปหลงสังขารตนและผู้อื่นเป็นสุข  หลงไปถือว่าสังขารเป็นตัวตนบุคคลเราเขา  ไม่รู้ว่าร่างของเขาสะสมจิตวิญญาณ  ทุกข์อันใดจะยิ่งกว่าสังขารย่อมไม่มี  มนุษย์คนเราที่เกิดมาหลงทุกข์อยู่เพราะบ้านไม่มี  จิตทั้งหลายหลงทุกข์อยู่เพราะร่างกายสังขารไม่เป็นปกติ  เพราะกายสังขารที่เกิดมาไม่เที่ยง  เกิดก็เป็นทุกข์  แก่ก็เป็นทุกข์  จะตายก็เป็นทุกข์  ถึงได้เรียกว่า  ทุกข์อันใดจะยิ่งกว่าสังขารย่อมไม่มีดังนี้  เพราะคนยุคนี้สมัยนี้ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์  ถึงมิได้บรรลุธรรมไปได้ง่ายๆ เหมือนยุคในสมัยพระพุทธเจ้า  เพราะคนยุคนี้สมัยนี้ไปถือความงม ๆ  งาย ๆ  ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์เพราะอะไรนั้นเอง  หลงรูป-หลงเสียง-หลงเพลงระบำขับร้องต่าง ๆ  ก็เพราะคนเราหลงอยู่ในสังขารตนและผู้อื่นนั้นเอง  ถึงได้กล่าว่าทุกอันใดจะยิ่งกว่าสังขารย่อมไม่มี  ผู้ปราศจากออกจากทุกข์ได้เป็นสุขอย่างยิ่ง  จะเอาอะไรที่อยู่ในภพทั้งสามมาเปรียบเอามาเทียบให้ดูให้เข้าใจ  ย่อมไม่มีในภพทั้งสามนี้แต่อย่างใด  เพราะความสุขอย่างยิ่งนี้ไม่มีในโลกภพทั้งสามนี้แต่อย่างใด  แม้แต่จะพูดตามระดับจิตผู้ปฏิบัติ  มีที่ท่องเที่ยวอยู่ในภพทั้งสามนี้  เป็นผู้ปฏิบัติสมถะวิปัสสนารู้แจ้ง  ในกระสินสิบ-นิมิตสาม-รูปฌานสี่แล้วก็ตาม  จะรู้ความสุขอันยิ่งนี้ไม่ได้  เว้นไว้แต่ผู้ปฏิบัติจิตตนให้เข้าสู่ทางพระอรหันต์ได้แล้วเท่านั้น  ถึงจะรู้ความสุขอันยิ่งนี้ได้  นอกจากนี้จะหาว่ารู้นั้นย่อมไม่มี  เพราะผู้ปฏิบัติจะพึงรู้ได้จำเพาะตน  เพราะว่าเป็นจิตดวงเดียวไม่มีอีกต่อไป  จิตเป็นไฟเป็นแสงสว่างของเขาเอง มิใช่ธาตุนะท่าน  ใจเป็นลมเป็นความสงบเยือกเย็นมิใช่ธาตุนะท่าน  จิตเป็นไฟใจเป็นลมอยู่ด้วยกันเป็นรูปนิพพาน  นั้นแหละเป็นตัวตนของท่านทุกตัวคน  จิตเป็นไฟมีแต่ความสว่างโดยไม่มีเชื้อ  ใจเป็นลมโดยสงบเยือกเย็นปราศจากเชื้อ  เรียกว่าสุขอย่างยิ่ง ฯ

 

               รู้ทุกข์นั้นรู้ด้วยปัญญา  มิใช่ให้สังขารทรมานเป็นทุกข์อย่างนั้นหาได้ไม่ ปัญหารู้ซึ้งแห่งทุกข์  ปัญญาสามารถออกจากกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ส่วนสังขารที่เป็นทุกข์ทรมานนั้น  เขาจะดับของเขาเองสังขารตายสังขารเป็นสุข

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:27:43

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom