-
ธรรมของคฤหัสถ์มีดังต่อไปนี้
|
|
-
1. เป็นธรรมที่สะสมไม่สุรุ่ยสุร่าย
|
|
-
2. เป็นธรรมที่มีความกำหนัดรักใคร่อยู่ในสามี-ภรรยาของตนอยู่เสมอไป
ให้ฝักใฝ่อยู่ในกุลบุตร-หลาน-เหลน
ด้วยพรหมวิหารสี่อยู่เสมอๆ
ไป
ให้อยู่ในทาน-ศีล-ภาวนา
ตามสติกำลังของตนที่จะทำได้
|
|
-
3.
เป็นผู้รักษาชื่อเสียงตนและผู้อื่นที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน
รักษาข้าทาสบริวารให้มีความสุขเสมอหน้ากัน
|
|
-
4.
เป็นผู้คลุกคลีอยู่ในหมู่คณะไม่ยอมทอดทิ้งอยู่เสมอๆ
ไป
|
|
-
สี่ข้อนี้เป็นธรรมเป็นวินัยของคฤหัสถ์
ต้องทำจิตใจของตนให้เดินไปตามธรรมเหล่านี้ เพราะเป็นธรรมมนุษย์สมบัติ-สวรรค์สมบัติซึ่งเป็นธรรมของคฤหัสถ์โดยจำเพาะ
เป็นทางโลกิยะธรรมคฤหัสถ์
ผู้แสวงหาครอบครัวอยู่ไม่สมควรไปนึกคิดปฏิบัติจิตใจตนของตน
ไปตามทางธรรมโลกุตรธรรม
เพราะมันมิใช่ทางของคฤหัสถ์แต่อย่างใด
โลกุตรธรรมนี้มันเป็นธรรมสำหรับนักบวชชาย-หญิงโดยจำเพาะ
คฤหัสถ์ไม่สมควรเอามาพูดมาคุยธรรมมัจฉากัจฉากัน มันไม่เกิดเป็นมรรคผลแก่คฤหัสถ์แต่อย่างใด
คฤหัสถ์นั้นเมื่อจะปฏิบัติจิตใจของตนก็มีอยู่
3
ทางด้วยกันเท่านั้นคือ
|
|
-
1.
เราให้มีสติน้อมนึกให้ได้อยู่เสมอๆ
เพื่อจะละเลิกจากบาป
จะบำเพ็ญแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างเดียว
|
|
-
2. เราจะพยายามทำจิตใจของเรา
ให้มีความเมตตาสามัคคีซึ่งกันและกัน
|
|
-
3.
เราจะพยายามทำจิตใจของเราให้สงบ
|
|
-
สำหรับคฤหัสถ์มีดังนี้เพราะนอกจากนี้มันไม่ใช่ธรรม
ไม่ใช่ศีลสิกขาบทของพระพุทธเจ้าแต่อย่างใดนะท่านชาย-หญิง
คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือว่าสมาธิกรรมฐานอันใดก็ดี
เป็นแนวทางปฏิบัติในอิริยาบถสี่คือ
ยืน-เดิน-นั่ง-นอน
ได้ทั้งนั้น วิธีอบรมจิตใจตนนั้นให้ทำจิตให้หยุดอยู่ในนิ่งไม่นึกคิดอะไร
ไม่พูดไม่ฟังเสียงอะไรทั้งนั้น
ถ้าจิตมันไม่อยู่นิ่งก็ให้ภาวนาว่า
อะระหัง
หรือ อาระหัง
สามคำนี้ให้ภาวนานึกคิดอยู่ในจิตใจของตนไม่ให้ลิ้นกระดก
พอเรารู้สึกว่าจิตใจเราหยุดหรือนิ่งอยู่แล้ว ก็ให้สติรู้อยู่ให้ใช้ปัญญาที่ตนมีอยู่นั้นพิจารณาลมหายใจเข้า-ออก
ให้มีสตินึกรู้ว่าลมหายใจเข้า-ออก
ในขณะนี้มันออกสั้นหรือยาวให้รู้ทางปัญญาของตน หายใจเข้าลมมันสั้นหรือยาวเราให้มีสติอยู่เราให้มีสัมปชัญญะปัญญา
ความรู้ไตร่ตรองพิจารณาอยู่กับลมนั้นให้สบาย ให้จิตใจปลอดโปร่งเสียก่อน
อย่าไปใช้สัญญากำหนดลมของตน
โดยความจำได้หมายรู้ในอุปาทานเป็นอันขาด
ถ้าเราไปใช้สัญญาความจำมันก็จะเกิดเป็นอุปทานไป และปัญญาจะไม่เกิดนะท่าน
เราให้รู้ว่าลมหายใจเข้า-ออกนี้เป็นธรรมอันไม่ตาย
วนเวียนอยู่ในภพทั้งสามนี้
ปฏิสนธิเข้าเกิดอยู่ในร่างสัตว์มนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานโลกนี้
จะหาทางที่จะสิ้นสุดลงมิได้เพราะความนึกคิดที่ติดอยู่ในกามสังขารตนและผู้อื่น
ว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยของตนอยู่เสมอๆ
ไป
มิได้นึกคิดถึงสังขารร่างกายของสัตว์มนุษย์และสัตว์เดียรัจฉาน
ว่าเป็นสิ่งที่ตายได้ไม่ถาวรแต่ประการใดจะหาทางรู้กันได้ไม่
พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนออกนักออกหนาว่า
ให้ท่านนึกคิดถึงความตายที่จะมาถึงร่างกายสังขารตนและผู้อื่นให้เป็นเนืองนิตย์
ให้ดูลมหายใจเข้า-ออกของตนนั้นเป็นเนืองๆ
ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันบ้าง
อย่าไปหลงว่ามีแต่รูปแต่นามว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ทำให้ผู้ปฏิบัติหลงไปตามนิมิตว่าเป็นรูปเป็นนาม
ไปหาว่ารูปธรรมนามธรรมก็ดีใจ
เลยกลายเป็นจิตให้เกิดวิปลาส
ขาดจากสติสัมปชัญญะปัญญาไปโดยไม่รู้ตัว
เพราะผู้นำรู้ไม่เท่าทันในเรื่องจิตใจว่าเป็นอย่างไร
เพราะผู้นำเปลี่ยนทางจิตใจให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงไม่ถูกในทางสัมมาทิฐินั้นเอง
ทำให้จิตใจผู้ไปติดอยู่ในอุปาทานในทางรูปภพ-นามภพ
ธรรมนั้นเป็นรูปเป็นนามที่ปะปนปฏิสนธิอยู่ในกามภพโลกมนุษย์และสัตว์นี้อยู่
เป็นรูปไม่เที่ยง-เป็นนามไม่เที่ยง-เป็นธรรมไม่เที่ยง
รูปธรรม-นามธรรมนี้เป็นสิ่งไม่เที่ยง
เพราะว่ารูปธรรม-นามธรรมนี้เป็นสิ่งวนเวียนท่องเที่ยวอยู่ในภพทั้งสามนี้
เป็นรูปไม่เที่ยง-เป็นธรรมไม่เที่ยง
เป็นนามไม่เที่ยง-เป็นธรรมไม่เที่ยง
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาย-หญิงให้พิจารณาให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
รูปธรรม-นามธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไม่เที่ยง
ท่านอย่าได้ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขานะท่าน
อย่าไปหลงอยู่ในรูปธรรม-นามธรรมว่าเป็นทางปฏิบัติ
รูปธรรม-นามธรรมอยู่ในโลกมนุษย์
เรานี้ก็มีรูปธรรม-นามธรรม-อบายภูมิ-นรกโลกันตร์ก็มีรูปธรรม-นามธรรมเหมือนกัน
แต่เป็นรูปไม่เที่ยง-เป็นธรรมไม่เที่ยง
เป็นนามไม่เที่ยง-เป็นธรรมไม่เที่ยง
รูปธรรม-นามธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง
จิต-เจตสิก-รูป-นิพพานนั้นมิใช่รูปธรรม-นามธรรมแต่อย่างใดนะท่าน
รูปนิพพานนี้เป็นรูปที่แน่นอนเป็นรูปที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นรูปหนึ่งไม่มีสอง
ที่ให้ยึดเอานิพพานมาเป็นอารมณ์ก็เพราะรูปนิพพาน นามคืออารมณ์ส่วนนิพพานนี้เป็นรูปในรูป ที่จะเข้าสู่พระปรินิพพานพ้นออกจากทุกข์ทั้งปวง
ให้ผู้ปฏิบัติจงพิจารณาจะรู้ได้โดยจำเพาะตนเอง
|
|
-
ดูก่อนนักบวชผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันบ้าง
ธรรมทั้งหลายต้องมีมาจากมูล
รูปธรรมก็ดีนามธรรมก็ดี
ต้องมาจากมูลสามให้เกิดเป็นมูล
มูลนั้นให้เกิดเป็นรูปต่างๆ
กันเช่น
ขาวบ้าง-ดำบ้าง
ขี้เหร่บ้าง
สวยงามบ้าง
รูปนามก็ดีรูปธรรมนามธรรมก็ดีมาจากธรรมด้วยกันทั้งนั้น
มาจากคัมภีร์พระคาถาวัตถุคือกายบ้าง
มาจากคัมภีร์พระบุคคลบัญญัติคือปากกับลิ้นบ้าง มากจากคัมภีร์พระยมกคือใจบ้าง
มาปรุงขึ้นเป็นบัญญัติขึ้นตามรูปธรรมนามธรรม ผู้ปฏิบัติอยู่กันทุกวันนี้ก็เป็นผู้แสวงหารูปธรรมนามธรรมกันนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ว่าเป็นรูปธรรมนามธรรมกันแน่
ก็มีเป็นส่วนมากเพราะไม่รู้มูลที่จะมาปรุงให้เกิดเป็นรูปธรรมนามธรรมนั้นก็คือ
กายกรรมสาม-วาจากรรมสี่-มโนกรรมสาม
เรียกว่ามูลสามรวมกันเข้าเป็นสองคือ
กุศลมูล 1 อกุศลมูล 1
นั้นเองมาปรุงขึ้นเป็นรูปธรรมนามธรรม
รูปนอกรูปในด้วย
นามนอกด้วยนามในด้วย
เป็นธรรมที่ปรุงกันขึ้นด้วยกันทั้งนั้น
ผู้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานอันใดใดก็ดี
ก็เพื่อให้รู้เพื่อให้สว่างแจ่มแจ้งในรูปธรรมนามธรรมนั้นคือ
ให้ผู้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานนั้นๆ
เพื่อให้รู้จักบุญและรู้จักบาปนั้นเอง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ท่านอย่าไปถือว่าเป็นของเก่าที่ถือสืบๆ
กันมา
อย่าไปถือโดยอ้างตามตำรา
อย่าไปถือว่าผู้พูดควรเชื่อได้
อย่าถือตามในมงคลตื่นข่าว
โน
โน
ครูติ
อย่าไปถือว่าภิกษุรูปนั้นรูปนี้เป็นครูบาอาจารย์ของเรา
ให้หมู่ท่านชายหญิงถือว่าบุญมีจริงบาปมีจริงนี้ ที่มาปรุงให้เป็นรูปธรรม-นามธรรม
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติรู้รูปรู้นามในรูปกุศลมูลและรูปอกุศลมูล
รูปเหล่านี้นามเหล่านี้จะมานำจิตใจของท่านให้เข้าไปสู่มูลต่างๆ
กันด้วยการกระทำของตนนั้นเอง
ท่านเรียกว่าไปตามรูปธรรมนามธรรม
ก็คือว่าไปตามกรรมตามเวร
ตามบุญตามบาปของผู้กระทำนั้นๆ
ของตนที่กระทำไว้ดังนี้เป็นต้น
พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า
รูปนามไม่เที่ยงธรรมทั้งหลายนี้ไม่เที่ยง
ผู้ปฏิบัตินักบวชทั้งหลายจะไปหลงงมๆ
งายๆ
อยู่ในธรรมอันไม่เที่ยงนั้นหรือ
จงให้พิจารณาใช้สติปัญญาของตนให้เห็นทางละเว้นปราศจากกองทุกข์
ในรูปธรรมนามธรรมอันเป็นสิ่งไม่เที่ยง
สิ่งอันใดไม่เที่ยงสิ่งอันนั้นเป็นทุกข์ให้ละเว้นเสียให้สูญสิ้นไป
ในมูลนั้นรูปนามก็ดีรูปธรรมนามธรรมก็ดี
เราจะไปพิจารณาในธรรมอันไม่เที่ยงนี้ให้เกิดให้ตายเป็นร้อยเป็นพันกัป
ก็จะหาทางจบลงมิได้เพราะธรรมรูปนามไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ในธรรมเหล่าใดสิ่งอันใดไม่เที่ยงให้ละเว้นออกไป
หรือให้หลีกไปเสียให้พ้นอย่าไปถือว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา
ท่านเหล่าใดไปถือว่าเป็นตัวตนคงจะไม่พ้นอบายมุขคือความทุกข์นั้นเอง
พระพุทธองค์ท่านสรรเสริญซึ่งพระธรรมอันล้ำเลิศประเสริฐศรี
ท่านเหล่าใดได้ลิ้มรสจะปรากฏด้วยปัญญา
|
|